ในหลายกลุ่ม ทั้งที่ทำงานหรือสังคมทั่วไป มักมีคนที่พยายาม “แชร์ความรู้” หรือ “ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์จริง”
แต่สมาชิกส่วนใหญ่กลับ ไม่สนใจอย่างแท้จริง — ฟังพอเป็นพิธี พยักหน้า ตอบรับดีต่อหน้า แต่ไม่เปิดใจหรือไม่ลงมือทำจริง
นี่ไม่ใช่เรื่องของ “ไม่ดี” หรือ “ไม่อยากรู้” เสมอไป
แต่เป็นการผสมระหว่าง พฤติกรรมทางสังคม + อารมณ์ส่วนตัว + สภาพวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่บิดเบี้ยว
🧠 สาเหตุเชิงจิตวิทยาและพฤติกรรม
1. Ego Defense (กลไกป้องกันอัตตา)
คนจำนวนมากมี “อีโก้” ว่า ฉันก็รู้แล้ว, ไม่ต้องให้ใครมาสอน
โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลมาจาก “คนใกล้ตัว” เพราะมันกระทบอัตตาโดยตรง
ยิ่งคนพูดอายุน้อยกว่าหรือมีตำแหน่งไม่สูงกว่า → ยิ่งปิดใจฟัง
จิตใต้สำนึกกลัวเสียหน้า มากกว่ากลัวพลาดโอกาสพัฒนา
2. Status & Hierarchy Effect (อิทธิพลลำดับชั้นในสังคม)
ในสังคมไทยและเอเชียโดยทั่วไป การ “รับฟังเพื่อเรียนรู้” มักถูกตีความว่า ด้อยกว่า
คนจึงแสดง “ตอบรับทางสังคม” (Social Compliance) ต่อหน้า
แต่ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมจริงหลังจากนั้น
พูดง่าย ๆ คือ “ฟังเพราะมารยาท ไม่ใช่เพราะอยากรู้”
3. Cognitive Dissonance (ความไม่สอดคล้องในความคิด)
เมื่อได้รับข้อมูลใหม่ที่ขัดกับสิ่งที่เชื่ออยู่เดิม → สมองจะรู้สึก “ไม่สบายใจ”
จึงเลือก “ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล” หรือ “หลีกเลี่ยงการรับรู้” เพื่อรักษาความเชื่อเดิม
ตัวอย่าง:
“สิ่งที่เธอพูดมันก็ถูกนะ… แต่ของฉันก็ใช้ได้เหมือนกัน”
คือรูปแบบหนึ่งของการปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว
4. อคติจากสภาพแวดล้อมทางสังคม (Social Proof Bias)
ถ้าความรู้ไม่ได้มาจาก “คนดัง” หรือ “แหล่งที่ยอมรับ”
แม้จะมีประโยชน์จริง คนส่วนใหญ่ก็จะมองว่าไม่น่าสนใจ
เพราะจิตใจมักเชื่อว่า “ของดีต้องมาจากคนดัง”
ทั้งที่บางครั้ง ความรู้จากคนธรรมดาในทีมกลับนำไปใช้ได้จริงที่สุด
5. Comfort Zone & Fear of Change (กลัวการเปลี่ยนแปลง)
มนุษย์จำนวนมากมีความสุขกับ “ความคุ้นเคย”
แม้จะรู้ว่าสิ่งใหม่ดีกว่า แต่สมองมองว่าการเปลี่ยนเท่ากับ “ความเสี่ยง”
เลยเลือกอยู่ในลูปเดิม เพราะมันปลอดภัยกว่า
6. Attention Economy Effect
สังคมยุคโซเชียลทำให้คน “ใส่ใจสิ่งกระตุ้นไว แต่ไม่ลึก”
เนื้อหาที่ต้องใช้สมาธิคิดหรือเรียนรู้มักไม่ดึงดูด
สมองยุคนี้จึงถูกฝึกให้ชอบสิ่งที่ “ง่าย เร็ว และไม่ต้องใช้ความคิด”
ทำให้ความรู้ที่ต้องใช้เวลาและการวิเคราะห์ กลายเป็นสิ่งที่ถูกมองข้าม
💡 แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้
🔸 ระดับ “บุคคล”
-
ฝึกเปิดใจเรียนรู้ (Growth Mindset)
-
ตั้งหลักว่า “ทุกคนมีบางอย่างที่เรายังไม่รู้”
-
มองการฟังเป็นการลงทุนความรู้ ไม่ใช่การยอมแพ้
-
-
เปลี่ยนจาก “รู้แล้ว” เป็น “รู้อะไรเพิ่มได้อีก?”
-
เมื่อได้ยินสิ่งคุ้นเคย ลองถามว่า “เรานำไปต่อยอดได้ไหม?”
-
-
เลือกอยู่ในวงคนที่ชอบพัฒนา
-
สิ่งแวดล้อมทางสังคมส่งผลต่อสมองโดยตรง
-
อยู่กับคนที่เรียนรู้ คุณจะอยากเรียนรู้โดยอัตโนมัติ
-
🔸 ระดับ “ทีม/องค์กร”
-
เปลี่ยนวัฒนธรรมจาก “พูดแล้วเงียบ” เป็น “ฟังแล้วต่อยอด”
-
หลังแชร์ความรู้ ให้มีช่วงสั้น ๆ สำหรับทุกคนตอบกลับเชิงปฏิบัติ
เช่น “จากสิ่งที่ได้ฟัง วันนี้จะลองนำไปใช้อย่างไร?”
-
-
ยกย่องคนที่กล้าลงมือเรียนรู้ มากกว่าคนที่พูดเก่ง
-
ให้รางวัล/คำชมกับผู้ที่นำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้จริง
-
-
ใช้ Storytelling แทนข้อมูลดิบ
-
คนจะเปิดใจมากขึ้นเมื่อเรื่องราว “เชื่อมโยงกับชีวิต” มากกว่าข้อมูลล้วน ๆ
-
🔸 ระดับ “สังคม”
-
สร้างสังคมแห่งการยอมรับการเรียนรู้ (Learning Culture)
เช่น แพลตฟอร์มสาธารณะที่เน้น “แชร์ประสบการณ์จริง” มากกว่าโชว์สำเร็จ -
ลดการตัดสิน–เพิ่มการรับฟัง
เมื่อคนกลัวถูกมองว่า “พูดมาก” หรือ “อวดรู้” สังคมก็จะขาดเสียงแห่งปัญญา -
สื่อสารแบบเปิดพื้นที่ (Open Conversation)
ไม่ตัดสิน ไม่แข่งกันว่าใครถูก แต่ถามว่า “อะไรใช้ได้จริงในชีวิตเรา?”
🔖 สรุปใจกลางความจริง
คนส่วนใหญ่ไม่ใช่ “ไม่อยากเรียนรู้”
แต่เขา กลัวการเปลี่ยนแปลง, กลัวเสียหน้า, และชินกับสิ่งเดิมมากเกินไป
สังคมที่เติบโตได้จริง ไม่ใช่สังคมที่มีคนเก่งเยอะ
แต่คือสังคมที่ “กล้ารับฟังและเรียนรู้จากกัน” โดยไม่ต้องมีอีโก้ว่าใครเหนือกว่าใคร
#จิตวิทยาแห่งการเรียนรู้ #GrowthMindset #เปิดใจเรียนรู้ #พัฒนาตัวเอง #SelfImprovement #Mindsetดีมีชัยไปกว่าครึ่ง #อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง #เรียนรู้ไม่มีวันหมด #PsychologyOfLearning #SmartDee











