Book Review

สรุปประเด็นหนังสือวิธีค้นหาสิ่งที่คุณอยากทำที่ง่ายที่สุดในโลก

คุณเคยรู้สึกไหมว่า…“ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองอยากทำอะไร” “ทำไมชีวิตถึงยังไม่เจอทางของตัวเองสักที?” หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกว่าคุณต้อง “ค้นพบสิ่งที่ใช่” ในทันทีแต่มันจะพาคุณ “สำรวจตัวเอง” ด้วยคำถามง่าย ๆ ที่หลายคนไม่เคยกล้าถามและแนะแนวทางด้วยวิธีที่เป็นรูปธรรมผ่านโมเดลง่าย ๆ อย่าง What × How × Why, จิ๊กซอว์ 3 ชิ้น, และการกลับไปหาตัวตนในอดีตเพื่อให้คุณเริ่มเห็นภาพว่า…❝ สิ่งที่คุณอยากทำอาจไม่ได้อยู่ไกลเลย แต่อยู่ในตัวคุณมาตลอด ❞

ด้านล่างคือ สรุปประเด็นสำคัญ 10 หัวข้อ พร้อม รายละเอียดที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตได้อย่างไร พร้อมยกตัวอย่างในการนำมาปรับใช้ให้ชีวิตดีขึ้นในแต่ละข้อ:

สารบัญหน้า

1. หยุดตามหางานที่ฟ้าลิขิตมาให้

💡 แนวคิดสำคัญ:

  • หนังสือเสนอให้ หยุดยึดติดกับความคิดที่ว่า “เราถูกกำหนดมาเพื่อทำงานใดงานหนึ่ง”

  • ความเชื่อนี้มักทำให้เรา รอ, ลังเล, หรือ กลัวที่จะเริ่มต้น เพราะมัวแต่คิดว่ายัง “หาไม่เจอสิ่งที่ใช่”

  • ผู้เขียนเสนอว่า:

“สิ่งที่อยากทำไม่ใช่สิ่งที่ต้องหาให้เจอ แต่มันคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นได้จากการลองทำจริง”


🛠️ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง:

✅ 1. เปลี่ยนคำถามในหัวจาก

❌ “งานอะไรคือสิ่งที่เกิดมาเพื่อเรา?”
➡️ ✅ “ตอนนี้…มีอะไรที่เราอยากลองทำ?”

✅ 2. เริ่มจากการ “ทดลองเล็ก ๆ” แทนที่จะรอความสมบูรณ์แบบ

  • เช่น เริ่มขายของออนไลน์เล็ก ๆ

  • ลองเขียนบทความในหัวข้อที่สนใจ

  • สมัครอาสาสมัคร หรือฝึกงานสายที่สนใจ

✅ 3. ให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์จริง” มากกว่าความคาดหวังในหัว

  • สิ่งที่ใช่จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นจาก “สิ่งที่คุณรู้สึกเมื่อได้ลองทำจริง” ไม่ใช่จากแค่การคิด


🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ให้ชีวิตดีขึ้น:

🧑‍💼 กรณี: คุณตูน อายุ 30 รู้สึกเบื่อกับงานบัญชีที่ทำ

  • เธอมักคิดว่า “ทำไมยังหางานที่ใช่ไม่เจอ? หรือเรายังไม่พบพรสวรรค์ของตัวเอง?”

  • หลังจากอ่านหนังสือ เธอเปลี่ยนแนวคิด → แทนที่จะรอ “งานที่ใช่”

  • เธอลองลงเรียนคอร์สออนไลน์ด้าน UX Design และเริ่มทำโปรเจกต์เล็ก ๆ

  • ผ่านไป 6 เดือน เธอพบว่า “การออกแบบที่เข้าใจคน” คือสิ่งที่เธอชอบและถนัด

  • เธอไม่ได้ “เจองานที่ฟ้าลิขิต” แต่ สร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมาได้ จากการ “ลงมือทำ”

สรุปข้อ1:

“หยุดตามหางานที่ใช่” = ปลดล็อกตัวเองจากความคาดหวังในอากาศ
แล้วหันมา “สร้างสิ่งที่ใช่จากสิ่งที่มีอยู่ตรงหน้า”


2. สูตร What × How × Why

💡 แนวคิดหลัก:

ผู้เขียนเสนอโมเดล 3 มิติในการ “ค้นหาสิ่งที่อยากทำจริง ๆ” ผ่านสูตร:

What = สิ่งที่คุณชอบ
How = วิธีที่คุณถนัด
Why = เหตุผลหรือคุณค่าที่คุณให้ความสำคัญ

👉 เมื่อคุณสามารถตอบทั้ง 3 คำถามนี้ได้พร้อมกัน
คุณจะเห็นภาพรวมของ “สิ่งที่อยากทำ” ได้ชัดเจนขึ้น และรู้ว่า ทำไมสิ่งนั้นถึงมีความหมายกับคุณจริง ๆ


🛠️ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง:

✅ 1. เขียนคำตอบ 3 ข้อนี้ของตัวเอง

คำถาม ตัวอย่างคำตอบ
What ฉันชอบเล่าเรื่อง / เขียนบทความ / ช่วยคนเข้าใจสิ่งยาก ๆ
How ฉันสื่อสารเก่ง / อธิบายง่าย / ใช้ภาพและคำได้ดี
Why เพราะฉันเชื่อว่าความรู้ดี ๆ ควรถูกแชร์ให้คนเข้าใจง่ายและเข้าถึงได้

👉 สรุป: งานที่เหมาะสม เช่น “นักสร้างคอนเทนต์ความรู้”, “ครูแนวใหม่”, หรือ “นักเขียน UX”


✅ 2. ใช้เป็น “เข็มทิศชีวิต”

เวลาต้องตัดสินใจเรื่องงาน / โปรเจกต์ / ทางเลือก
ให้ย้อนกลับไปดูว่า มันสอดคล้องกับ What – How – Why ของคุณหรือไม่?


🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ให้ชีวิตดีขึ้น:

🧑‍🎓 กรณี: “นัท” จบสายวิทย์ แต่ลังเลว่าจะทำอะไรดี

  • เขาชอบเล่นเกม (What)

  • เขาเข้าใจระบบเกมลึกซึ้ง / วางแผนเก่ง (How)

  • และเขาอยากช่วยให้เกมดีขึ้นเพื่อให้คนเล่นมีความสุข (Why)

🔄 จากนั้นนัทลองวิเคราะห์ตามสูตร → พบว่าอาชีพ “Game Designer” น่าจะตรงกับคุณสมบัติ
เขาเริ่มเรียนเพิ่มเติมสาย UX/Game Design และในเวลาไม่นานก็เริ่มทำงานสายนี้จริง ๆ

สรุปข้อ2:

สูตร What × How × Why
= เครื่องมือเข้าใจตัวเองแบบลึกและครบ
ที่ช่วยให้คุณไม่หลงทางเวลาจะ “เลือกทางเดินชีวิต”


3. เลิกเอาชนะข้อเสีย หันมาพัฒนาข้อดี

💡 แนวคิดสำคัญ:

คนส่วนใหญ่มักโฟกัสกับ “สิ่งที่ตัวเองไม่เก่ง” และพยายามแก้ไขมัน
แต่หนังสือเล่มนี้เสนอว่า:
👉 ให้หยุดพยายามเอาชนะข้อเสีย แล้วหันมาใช้เวลาและพลังงานกับ การพัฒนาจุดแข็งที่มีอยู่แทน

ทำไม?

  • เพราะจุดแข็ง = สิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว → มีโอกาสสร้างคุณค่าได้มากกว่า

  • การพยายามแก้ไขจุดอ่อนอาจทำให้ หมดแรง หมดใจ และไม่สนุก


🛠️ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง:

✅ 1. เขียน “ข้อดี-ข้อเสีย” ของตัวเองออกมา

แล้วถามตัวเองว่า:

❓ ข้อดีข้อไหนที่สามารถ “ต่อยอด” ได้
❓ ข้อดีไหนที่ทำแล้วรู้สึก “สนุก + สบายใจ + ได้ผลดี”

จากนั้น → เลือกข้อดี 1–2 ข้อ แล้ว ตั้งเป้าเพื่อพัฒนาให้เด่นชัดขึ้น


✅ 2. ใช้จุดแข็งเป็น “ทางผ่าน” ไปสู่สิ่งที่อยากทำ

เช่น: คุณไม่เก่งพรีเซนต์หน้าคนเยอะ แต่เขียนเก่ง
→ ก็ใช้ทักษะเขียนทำคอนเทนต์แทนการพูด
→ หรือเขียน Script ให้คนอื่นนำเสนอ


✅ 3. ยอมรับว่าทุกคนมีข้อเสีย แต่เราไม่จำเป็นต้อง “สมบูรณ์แบบ”

เราไม่ได้ต้องเก่งทุกอย่าง แต่ต้องรู้ “เราถนัดอะไร” และ “จะใช้มันอย่างไรให้เกิดประโยชน์”


🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ให้ชีวิตดีขึ้น:

👩‍💻 “เกด” เป็นนักออกแบบ UX

  • ข้อเสีย: เธอไม่เก่งโค้ด ไม่ชอบเขียนโปรแกรม

  • จุดแข็ง: เธอเข้าใจคนใช้งาน, มีเซนส์ด้านดีไซน์, ถามคำถามเก่ง

📌 แทนที่จะฝืนไปเรียนโค้ด เธอลงลึกด้าน UX Research และ Design Thinking
→ กลายเป็น UX Lead ที่เข้าใจผู้ใช้มากที่สุดในทีม
→ ได้รับโอกาสเติบโตเร็วกว่าเพื่อนที่ “พยายามจะเก่งไปทุกด้าน”

สรุปข้อ3:

อย่าเสียเวลาเปลี่ยนข้อเสียให้กลายเป็นกลาง
จงเปลี่ยนข้อดีธรรมดาให้กลายเป็น “ข้อดีขั้นเทพ” แทน


4. กำหนด จิ๊กซอว์ 3 ชิ้น ให้กับตัวเอง

💡 แนวคิดสำคัญ:

จิ๊กซอว์ 3 ชิ้น คือการกำหนด องค์ประกอบหลัก 3 อย่างในชีวิต
ที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุด ซึ่งรวมกันแล้วจะเป็น “ภาพรวมของชีวิตที่สมดุลและเติมเต็ม”

โดยผู้เขียนเสนอให้เราไม่ต้องพยายามทำทุกอย่าง
แต่ให้โฟกัสแค่ “3 ด้านสำคัญ” ที่เหมาะกับตัวเราในช่วงเวลานี้


🔍 ตัวอย่างของ “จิ๊กซอว์ 3 ชิ้น” (อาจต่างกันไปตามแต่ละคน)

  1. งานที่มีความหมาย (Meaningful Work)

  2. ครอบครัวที่อบอุ่น (Close Family)

  3. การเติบโตภายใน (Personal Growth)

ของบางคนอาจเป็น:

  • รายได้มั่นคง / สุขภาพดี / เวลาเป็นของตัวเอง

  • งาน + ศิลปะ + เพื่อน

  • ธุรกิจ + การเรียนรู้ + การท่องเที่ยว


🛠️ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง:

✅ 1. เขียนลงมาว่า “3 สิ่งที่สำคัญที่สุด” ของคุณตอนนี้คืออะไร?

ใช้คำถามเช่น:

  • ถ้าต้องจัดลำดับความสำคัญในชีวิตตอนนี้ ฉันให้เวลากับอะไร?

  • ถ้าชีวิตมีแค่ 3 ช่องให้เติม ฉันอยากให้มันคือเรื่องอะไร?


✅ 2. ใช้จิ๊กซอว์นี้เป็น “เข็มทิศตัดสินใจ”

เมื่อต้องเลือกงาน / ปฏิเสธโปรเจกต์ / ตั้งเป้าหมาย
ให้ดูว่า สอดคล้องกับจิ๊กซอว์ของฉันหรือไม่
ถ้าไม่ → กล้าปฏิเสธได้ง่ายขึ้น


✅ 3. ปรับจิ๊กซอว์ได้ตามช่วงชีวิต

จิ๊กซอว์ไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิมเสมอไป
ช่วงวัยเรียนอาจเน้น “ความรู้-เพื่อน-งานพิเศษ”
พอทำงานอาจกลายเป็น “งาน-ครอบครัว-สุขภาพ”


🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ให้ชีวิตดีขึ้น:

👩‍🏫 กรณี “จ๋า” อายุ 35 รู้สึกชีวิตวุ่นวาย ทั้งงาน ครอบครัว และเรื่องส่วนตัว

  • หลังลองทำแบบฝึกหัด “จิ๊กซอว์ 3 ชิ้น” เธอเลือก:

    1. เวลากับลูก

    2. สุขภาพ

    3. งานที่ไม่เบิร์นเอาต์

→ เธอลดรับงานฟรีแลนซ์บางส่วน
→ หันมาออกกำลังกายตอนเช้า และใช้เวลากับครอบครัวตอนเย็น
→ แม้รายได้ลดลงเล็กน้อย แต่ชีวิต “ดีขึ้นชัดเจน” และไม่รู้สึกว่าเสียสมดุลอีก

สรุปข้อ4:

ชีวิตไม่จำเป็นต้องครบทุกด้าน
แต่ควร “ครบด้านที่สำคัญกับคุณ” ในตอนนี้
🔑 และจิ๊กซอว์ 3 ชิ้น คือเครื่องมือช่วยคุณกำหนดจุดโฟกัสของชีวิตให้ชัด


5. เรียนรู้วิธีมองทะลุ “ค่านิยมปลอม ๆ”

💡 แนวคิดสำคัญ:

หนังสือชวนให้เราตั้งคำถามกับ “ค่านิยม” ที่เราเชื่อว่าถูกต้อง เช่น:
“ต้องมีเงินเยอะถึงจะประสบความสำเร็จ”
“ต้องมีชื่อเสียงถึงจะมีคุณค่า”
“ต้องทำตามทางที่คนอื่นยอมรับ ถึงจะนับว่าโอเค”

แต่คำถามคือ…
ค่านิยมเหล่านั้น เราเชื่อจริง ๆ หรือแค่ซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว?


📌 สิ่งที่เรียกว่า “ค่านิยมปลอม ๆ” คืออะไร?

คือ “ความเชื่อ” หรือ “มาตรฐาน” ที่เราอาจไม่ได้เลือกเอง แต่รับมาโดยอัตโนมัติจาก…

  • สังคม

  • พ่อแม่

  • ระบบการศึกษา

  • โซเชียลมีเดีย

  • วัฒนธรรมองค์กร ฯลฯ

🔎 ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจ “ไม่ใช่ของเรา” เลย แต่กลับมากำหนดชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว


🛠️ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง:

✅ 1. ตั้งคำถามกับค่านิยมที่คุณกำลังใช้เป็น “ตัววัดชีวิต”

❓ ทำไมคุณต้องอยากได้งานบริษัทใหญ่?
❓ ทำไมคุณถึงรู้สึกแย่ถ้ารายได้น้อยกว่าเพื่อน?
❓ ทำไมคุณถึงไม่กล้าลองสิ่งใหม่ที่ชอบ?

ลองเขียนสิ่งเหล่านี้ออกมา แล้วถามตัวเองว่า
“นี่คือสิ่งที่ฉันให้คุณค่าเอง หรือฉันแค่กลัวไม่เหมือนคนอื่น?”


✅ 2. สร้าง “ค่านิยมแท้จริง” ของตัวเอง

เมื่อคุณรู้ว่าค่านิยมปลอม ๆ มีผลอย่างไร
คุณจะเริ่มมองเห็นว่า:

“ฉันให้ความสำคัญกับอะไร?”
“อะไรคือคุณค่าที่ฉันเลือกเอง ไม่ได้ยืมจากใคร?”

เช่น: บางคนอาจเลือก

  • ความสงบมากกว่าความสำเร็จ

  • ความสัมพันธ์ที่แท้จริงมากกว่าความดัง

  • ความอิสระมากกว่าความมั่นคง


🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ให้ชีวิตดีขึ้น:

👨‍💼 “บอส” ทำงานบริษัทใหญ่ เงินดี แต่ไม่มีความสุข

  • เขาโตมากับค่านิยมว่า “ต้องเป็นผู้บริหาร ถึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ”

  • แต่เมื่อเริ่มตั้งคำถาม เขาพบว่า

ความสุขจริง ๆ ของเขาคือ “การได้ทำงานสร้างสรรค์ + มีเวลาอยู่กับครอบครัว”

→ เขาตัดสินใจลาออกมาเปิดสตูดิโอเล็ก ๆ ทำงานกับเพื่อนร่วมทีมที่เขาไว้ใจ
→ แม้รายได้จะไม่สูงเท่าเดิม แต่เขารู้สึก “เป็นตัวเอง” และมีคุณค่าในแบบที่เขาเลือกเอง

สรุปข้อ5:

บางทีเราไม่ได้เหนื่อยเพราะชีวิตลำบาก
แต่เราเหนื่อยเพราะ “กำลังพยายามเป็นในสิ่งที่เราไม่ได้เลือกเอง”

เรียนรู้ที่จะ “แยกของแท้ – ของปลอม” ออกจากกันในใจเรา
แล้วเลือกเดินในแบบที่เป็น “ของเราเองจริง ๆ”

 


6. มองประสบการณ์แย่ ๆ ในอดีตเป็น “หอยเม่น”

💡 แนวคิดสำคัญ:

ผู้เขียนเปรียบเทียบ “ประสบการณ์แย่ ๆ” ว่าเหมือน หอยเม่น
ภายนอกมันมีหนาม แหลมคม เจ็บปวด
แต่ภายในกลับ มีเนื้อหวาน มีคุณค่า … ถ้าเรากล้าพอที่จะ “แกะออก” แล้วเข้าใจมัน


📌 ประเด็นที่หนังสือเน้น:

  1. อย่าปัดประสบการณ์แย่ ๆ ทิ้ง
    เพราะสิ่งที่เจ็บที่สุดในชีวิต บางครั้งคือสิ่งที่ “สอนเราได้มากที่สุด”
    มันคือบทเรียนส่วนตัวที่ไม่หาได้จากหนังสือหรือคำแนะนำของใคร

  2. ความเจ็บปวดคือแหล่งพลัง
    หากเรากลับไปมองมันใหม่ ด้วยสายตาที่เข้าใจตัวเอง
    เราจะดึงพลังจากมันมาเป็น เชื้อเพลิงในการเปลี่ยนแปลงชีวิต

  3. การเยียวยาไม่ใช่การลืม แต่คือการเรียนรู้จากมัน
    หอยเม่นจะมีค่าก็ต่อเมื่อเรากล้ารับมือกับมันอย่างไม่ตัดสินตัวเอง


🛠️ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง:

✅ 1. กลับไปมอง “เรื่องแย่” ด้วยมุมใหม่

เขียนประสบการณ์ที่เจ็บหรือผิดหวังที่สุดในชีวิตออกมา
แล้วถามตัวเองว่า…

  • จากเรื่องนั้น เราได้เรียนรู้อะไร?

  • เราเติบโตขึ้นในด้านไหนเพราะมัน?

  • ตอนนั้นเราอาจรู้สึกพัง แต่ “วันนี้” เราเห็นอะไรดี ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากมัน?


✅ 2. เปลี่ยน “บาดแผล” ให้กลายเป็น “พลังสร้าง”

เรื่องแย่ในอดีต = วัตถุดิบพิเศษ
เราสามารถใช้มันเป็นแรงบันดาลใจ เช่น…

  • สร้างงานเขียน / คอนเทนต์ / ธุรกิจที่ช่วยคนในสถานการณ์คล้ายกัน

  • เปลี่ยนวิธีคิดจาก “ทำไมต้องเกิดกับฉัน” → เป็น “เพราะมันเกิดกับฉัน ฉันเลยเข้าใจคนอื่นได้ลึกซึ้งขึ้น”


🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ให้ชีวิตดีขึ้น:

👩‍💼 “แอม” เคยล้มเหลวในการทำธุรกิจแรกของตัวเอง

  • เธอสูญเสียเงินและเสียความมั่นใจ

  • เคยคิดว่า “เราไม่เหมาะกับการเป็นผู้ประกอบการ”

แต่หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้
→ เธอกลับไปทบทวนว่า

  • สิ่งที่เธอล้ม เพราะขาดการวางแผน ไม่ใช่เพราะเธอไม่มีศักยภาพ

  • เธอจึงเริ่มเรียนรู้ใหม่ ลงมืออีกครั้ง
    → และสามารถเปิดแบรนด์เล็ก ๆ ที่มั่นคงขึ้นกว่าเดิมมาก

📌 ความล้มเหลวครั้งแรก = หอยเม่น
แต่วันนี้เธอใช้มันเป็นพลังสร้างความสำเร็จรอบใหม่

สรุปข้อ6:

อย่ากลัวอดีต อย่ากลัวความผิดพลาด
เพราะ “ความเจ็บปวด” คือครูที่ซื่อสัตย์ที่สุดในชีวิต

ถ้าเรากล้าหยิบหอยเม่นขึ้นมาดูดี ๆ… อาจพบว่า “เนื้อในของมันหวานกว่าที่คิด”


7. สิ่งที่ชอบ × สิ่งที่ถนัด

= จุดเริ่มต้นของ “สิ่งที่อยากทำจริง ๆ”

💡 แนวคิดสำคัญ:

สิ่งที่ “อยากทำ” จริง ๆ มักเกิดจากการ “คูณกัน”
ระหว่างสิ่งที่ คุณรัก (Passion)
กับสิ่งที่ คุณทำได้ดี (Strength)

ถ้าคุณมีอย่างใดอย่างหนึ่ง:

  • ✔️ ชอบแต่ไม่ถนัด → ทำแล้วเหนื่อย / ไม่คืบหน้า / ท้อไว

  • ✔️ ถนัดแต่ไม่ชอบ → ทำได้ดีแต่ไม่สนุก / ไม่รู้สึกมีคุณค่า
    แต่ถ้า “ชอบและถนัด” พร้อมกัน → จะทำได้นาน และ พัฒนาได้ลึก


🛠️ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง:

✅ 1. เขียนออกมาเป็นตาราง 2 ช่อง:

สิ่งที่ชอบ (What I Love) สิ่งที่ถนัด (What I’m Good At)
สื่อสาร / เล่าเรื่อง เขียนเก่ง / ทำสไลด์ดี
ฟังคนอื่น / ให้คำปรึกษา เข้าใจอารมณ์ / พูดโน้มน้าวได้

ดูว่าอะไร ซ้ำกันหรือสามารถนำมาคูณกันได้


✅ 2. ตั้งคำถาม:

  • ถ้าฉันทำสิ่งนี้ต่อไปอีก 3 ปี จะรู้สึกยังไง?

  • ฉันสามารถเปลี่ยนสิ่งนี้ให้กลายเป็น “อาชีพ” หรือ “คุณค่าให้คนอื่น” ได้ไหม?


✅ 3. เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ที่คูณกันได้ทันที

เช่น:

  • ชอบเล่าเรื่อง + ถนัดทำวิดีโอ → เริ่มทำ TikTok แนะนำหนังสือ

  • ชอบเรียนรู้ + ถนัดอธิบาย → ทำเพจสรุปบทเรียน

  • ชอบแฟชั่น + ถนัดครีเอท → เริ่มออกแบบเสื้อผ้าของตัวเอง


🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ให้ชีวิตดีขึ้น:

👩‍🎨 “น้ำ” ชอบวาดรูปแต่ไม่เคยคิดว่าจะทำเป็นอาชีพได้

  • เธอรู้สึกว่าเธอ “ชอบ” แต่วาดแค่เล่น ๆ

  • แต่เมื่อมองลึกลงไป เธอพบว่าเธอ “ถนัด” วาดสไตล์น่ารัก ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย

  • เธอเริ่มรวมภาพวาดใส่ในสินค้า เช่น โปสต์การ์ด, แก้ว, เสื้อ
    → เริ่มมีคนซื้อ และกลายเป็นแบรนด์เล็ก ๆ
    → ชีวิตเปลี่ยนจากแค่วาดเล่น เป็น “สร้างอาชีพจากสิ่งที่เธอรักและถนัด”

สรุปข้อ7:

ชอบ + ถนัด = จุดเริ่มต้นของสิ่งที่อยากทำจริง ๆ
ไม่ต้องรอแรงบันดาลใจจากภายนอก
เพราะคำตอบนั้น “อยู่ในตัวเรา” อยู่แล้ว


8. สิ่งที่ชอบ × สิ่งที่ถนัด × สิ่งที่ให้ความสำคัญ

= “ความหมาย” ที่แท้จริงของสิ่งที่คุณอยากทำ

💡 แนวคิดสำคัญ:

การจะ “ลงมือทำอะไรบางอย่างอย่างยั่งยืน” ต้องมี 3 องค์ประกอบที่ผสานกัน
ซึ่งก็คือ…

องค์ประกอบ ความหมาย คำถามเพื่อค้นหา
✅ สิ่งที่ชอบ (What) สิ่งที่คุณทำแล้วรู้สึกสนุก / มีพลัง ฉันรู้สึกตื่นเต้นเวลาได้ทำอะไร?
✅ สิ่งที่ถนัด (How) สิ่งที่คุณทำได้ดี / ไม่ฝืนธรรมชาติ ฉันมีทักษะด้านไหนที่คนอื่นชมบ่อย?
✅ สิ่งที่ให้ความสำคัญ (Why) ค่านิยม / จุดยืน / เป้าหมายในใจ ฉันอยากเห็นโลกนี้เปลี่ยนไปในด้านไหน?

📌 เมื่อทั้ง 3 สิ่งนี้ “คูณกัน”
สิ่งที่คุณอยากทำ จะไม่ใช่แค่ “สิ่งที่ชอบ” แต่เป็น “สิ่งที่มีคุณค่าทั้งสำหรับตัวคุณและโลก”


🛠️ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง:

✅ 1. เขียน 3 ช่อง (What / How / Why) แล้วลองจับคู่

What (ชอบ) How (ถนัด) Why (คุณค่า)
ฟังเรื่องราวของผู้คน เข้าใจความรู้สึก / ถามคำถามเก่ง อยากให้คนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า

→ สิ่งที่อยากทำ: โค้ช / นักให้คำปรึกษา / นักเขียนสร้างแรงบันดาลใจ


✅ 2. ใช้เป็นเครื่องมือคัดกรองสิ่งที่ “ควรทำ” กับสิ่งที่ “แค่ผ่านเข้ามา”

ถ้าคุณชอบและถนัด แต่มันไม่สอดคล้องกับค่านิยมของคุณ → คุณจะ “หมดไฟ” ได้ง่าย
แต่ถ้ามันสอดคล้องกับ “สิ่งที่คุณให้คุณค่าจริง ๆ” → คุณจะมีแรงทำแม้ในวันที่เหนื่อย


✅ 3. เปลี่ยน “ชีวิตที่ใช่” ให้กลายเป็น “งานที่ใช่”

หลายคนเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองรัก → พอผสมทักษะและคุณค่าที่เชื่อ
จะสามารถต่อยอดให้กลายเป็นงาน/อาชีพ/โปรเจกต์ที่ “มีพลัง” ได้จริง


🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ให้ชีวิตดีขึ้น:

👨‍🏫 “บอม” รู้ว่าเขาชอบการสอน แต่ไม่อยากเป็นครูในระบบ

  • เขาวิเคราะห์ตนเอง:

What How Why
ชอบอธิบายให้คนเข้าใจ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเก่ง อยากให้ความรู้ดี ๆ เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่าย

→ เขาสร้างช่อง YouTube สอนความรู้ด้านการเงินแบบง่าย ๆ
→ ปัจจุบันมีผู้ติดตามมากกว่า 100,000 คน และสามารถทำรายได้จากสิ่งที่เขารัก + ถนัด + เชื่อในคุณค่า

สรุปข้อ8:

ถ้าคุณหา “สิ่งที่ชอบ × ถนัด × ให้ความสำคัญ” เจอ
นั่นแหละ…คือจุดเริ่มต้นของ ชีวิตที่ใช่ – อย่างมีความหมาย


9. ไม่มีใครที่ไม่มีสิ่งที่ตัวเองอยากทำ

💡 แนวคิดสำคัญ:

คนจำนวนมากมักพูดว่า
❝ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร ❞
หรือ
❝ ฉันไม่มีความฝัน ❞

แต่ผู้เขียนชี้ว่า ความจริงแล้ว…

🔑 “ไม่ใช่คุณไม่มีสิ่งที่อยากทำ… แต่คุณอาจยังไม่เคยได้ลอง หรือยังไม่รู้ว่าจะหาอย่างไร”


📌 สาเหตุที่เรารู้สึกว่า “ไม่มีสิ่งที่อยากทำ” อาจเกิดจาก:

  1. เราไม่เคยได้สำรวจตัวเองจริง ๆ
    ไม่เคยนั่งนิ่ง ๆ เพื่อฟังใจตัวเอง
    ไม่เคยเขียนว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
    ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “อยากใช้ชีวิตแบบไหน”

  2. เราเผลอไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมากเกินไป
    เห็นคนอื่นมีเป้าหมายใหญ่โต แล้วรู้สึกว่า “ของเราธรรมดาเกินไป”

  3. เราเคยถูกตำหนิ / ล้มเหลวจนไม่กล้าฝัน
    บางคนเคยโดนดูถูกเรื่องสิ่งที่รัก → จึงกดสิ่งนั้นไว้ลึก ๆ


🛠️ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง:

✅ 1. เปลี่ยนจากคำว่า “ไม่มี” เป็น “ยังไม่รู้”

แค่เปลี่ยนมุมมองว่า “ฉันไม่มีความฝัน”
→ เป็น “ฉันกำลังเรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ฉันอยากทำ”
จะช่วยให้ใจเปิด พร้อมค้นหา


✅ 2. ลองกลับไปหาสิ่งที่ “ชอบตอนเด็ก” หรือ “ทำแล้วลืมเวลา”

บางครั้ง “ความอยากทำ” ของเราซ่อนอยู่ในสิ่งง่าย ๆ
เช่น การวาดรูป การดูสารคดี การดูแลคนอื่น การซ่อมของเล่น ฯลฯ

ลองถามตัวเองว่า:

  • ตอนเด็ก ฉันชอบเล่นอะไร?

  • ถ้าไม่มีเรื่องเงิน ฉันจะใช้เวลาทำอะไร?

  • เวลาผ่านไปไวที่สุดตอนฉันกำลังทำอะไร?


✅ 3. ทดลองเล็ก ๆ เพื่อ “หา” ไม่ใช่ “รอให้เจอ”

อย่ารอ “คำตอบ” ที่สมบูรณ์แบบ
เพราะคุณจะไม่มีวันรู้ว่า “ใช่หรือไม่”
จนกว่าจะได้ ลองลงมือทำจริง


🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ให้ชีวิตดีขึ้น:

👩‍💻 “ดิว” เป็นพนักงานออฟฟิศที่รู้สึกชีวิตวนลูป

  • เขาเคยเชื่อว่า “เขาไม่มีความฝัน”

  • หลังอ่านหนังสือ เขาเริ่มเขียนไดอารี่ทุกวัน
    และพบว่าตัวเองชอบการเล่าเรื่อง + การเรียนรู้จิตวิทยา

→ เขาเริ่มทำเพจเล่าเรื่องจิตวิทยาแนวเข้าใจง่าย
→ ทำแบบเล่น ๆ จนมีคนติดตาม และเริ่มมีรายได้จากสิ่งที่เขา “เคยคิดว่าไม่ใช่ฝัน”

สรุปข้อ9:

ทุกคนมีสิ่งที่อยากทำอยู่แล้วในใจ
แค่ยัง “ไม่ทันสังเกต หรือยังไม่กล้าลงมือ”

📌 สิ่งที่คุณอยากทำ อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่อาจเป็น “สิ่งเล็ก ๆ ที่คุณทำแล้วรู้สึกมีความสุข ลึก ๆ ข้างใน”


10. เรียนรู้และค้นหาตัวเอง

💡 แนวคิดสำคัญ:

หนังสือย้ำว่า “การค้นหาสิ่งที่อยากทำ”
ไม่ใช่การนั่งรอแรงบันดาลใจ
แต่คือ “การเรียนรู้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง” ผ่านการลองผิดลองถูก

ผู้เขียนมองว่า…

❝ ยิ่งคุณรู้จักตัวเองมากเท่าไร
คุณจะยิ่งรู้ว่า “อะไรที่ใช่ – อะไรที่ไม่ใช่” สำหรับคุณเท่านั้น ❞


📌 แนวทางสำคัญที่หนังสือแนะนำในการ “เรียนรู้และค้นหาตัวเอง” มีดังนี้:

✅ 1. ฟังเสียงภายใน ไม่ใช่เสียงคนอื่นเสมอไป

ลองแยก “สิ่งที่คนอื่นอยากให้คุณเป็น” ออกจาก “สิ่งที่คุณเป็นจริง ๆ”


✅ 2. ทดลองบ่อย ๆ แทนที่จะรอความชัดเจน

เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ เช่น สมัครเรียนคอร์ส ทดลองทำสิ่งใหม่
เพราะการ “ลงมือทำ” จะให้คำตอบเร็วกว่าการคิดในหัว


✅ 3. บันทึกความรู้สึก – ถามตัวเองบ่อย ๆ

เช่น…

  • วันนี้เราสนุกกับอะไรมากที่สุด?

  • เราเหนื่อยเพราะอะไร?

  • ถ้ามีเวลาว่าง 1 วัน เราจะเลือกทำอะไรโดยไม่ลังเล?


✅ 4. ไม่ต้องหาคำตอบที่ “ถูกต้องที่สุด” แต่หาสิ่งที่ “ตรงกับตัวเองที่สุด”

ไม่มีใครให้คำตอบแทนคุณได้
คุณต้อง “เป็นคนเลือก และรับผิดชอบในชีวิตตัวเอง”


🛠️ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง:

✍️ ลองทำ “Self-Discovery Journal”

เขียนทุกวันสั้น ๆ ว่า…

  • วันนี้ฉันรู้สึกอย่างไร

  • อะไรทำให้ฉันยิ้ม

  • ฉันอยากเรียนรู้อะไรเพิ่ม

  • วันนี้ฉันกลัวอะไร และทำอะไรดีขึ้นกว่าวันก่อน

🧠 นี่คือการสะท้อนตัวเอง ที่จะค่อย ๆ ทำให้คุณรู้จักตัวตนและความต้องการของคุณชัดขึ้น


🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ให้ชีวิตดีขึ้น:

👩‍💼 “เมย์” เปลี่ยนสายงานจาก HR เป็นโค้ช

  • เริ่มต้นจากความรู้สึก “ไม่อินกับงานประจำ”

  • เธอลองบันทึกความรู้สึก 5 นาทีต่อวันทุกคืน

  • สังเกตตัวเองว่า “เมื่อไหร่ที่มีพลัง – เมื่อไหร่ที่หมดแรง”

  • พบว่าเธอรู้สึกดีเมื่อได้พูดคุยให้คำปรึกษากับเพื่อนร่วมงาน

💡 จากนั้นจึงเริ่มศึกษาเรื่อง Coaching และลงคอร์สเล็ก ๆ
→ ค่อย ๆ เปลี่ยนเส้นทางสู่อาชีพที่ “ตรงกับเธอ” มากกว่าเดิม

สรุปข้อ 10:

ชีวิตไม่ใช่เรื่องของการรู้คำตอบเสมอไป
แต่มันคือการ “ตั้งคำถามกับตัวเอง” อย่างจริงใจ และกล้าลองเพื่อหาคำตอบของเราเอง

🔍 ยิ่งรู้จักตัวเองลึกเท่าไร → ยิ่งเข้าใจ “สิ่งที่อยากทำ” ชัดขึ้นเท่านั้น