Book Review

รีวิวหนังสือพูดว่า ‘ไม่’ เพื่อสิ่งที่ใช่ในชีวิต

หนังสือ “พูดว่า ‘ไม่’ เพื่อสิ่งที่ใช่ในชีวิต” (How to Say No) เขียนโดย Patrick King เป็นคู่มือที่ช่วยผู้อ่านเรียนรู้วิธีการปฏิเสธอย่างมั่นใจและสุภาพ โดยไม่รู้สึกผิด และยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้ได้

การเรียนรู้ที่จะพูดว่า ‘ไม่’ อย่างเหมาะสมจะช่วยให้เรามีชีวิตที่สมดุลและมีความสุขมากขึ้น ผมได้มาสรุปรายละเอียดแต่ละข้อ ที่สามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตได้อย่างไร พร้อมยกตัวอย่างในการนำมาปรับใช้ให้ชีวิตดีขึ้นนะครับ


สารบัญหน้า

📖 1. ความสำคัญของการปฏิเสธ | หนังสือ “พูดว่า ‘ไม่’ เพื่อสิ่งที่ใช่ในชีวิต”

💡 “ทุกครั้งที่คุณพูดว่า ‘ใช่’ กับสิ่งที่ไม่สำคัญ คุณกำลังบอก ‘ไม่’ กับสิ่งที่มีค่ากับชีวิตคุณ”

คุณเคยไหม?

  • ต้องรับปากช่วยงานคนอื่น ทั้งที่ตัวเองงานล้นมือ
  • ถูกชวนไปทำอะไรบางอย่าง ทั้งที่ไม่อยากไป แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ
  • รู้สึกเหนื่อยและหมดพลัง เพราะเอาใจคนอื่นมากเกินไป

🎯 หนังสือเล่มนี้ช่วยให้คุณเข้าใจว่า “การปฏิเสธ” ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่มันคือสิ่งจำเป็น ที่ช่วยให้คุณมีชีวิตที่มีคุณภาพมากขึ้น!

1.1 ทำไมการปฏิเสธจึงสำคัญ?

ช่วยให้คุณมีเวลาทำสิ่งที่สำคัญจริง ๆ
ลดความเครียดและความกดดันจากการแบกรับภาระที่ไม่จำเป็น
ป้องกันการถูกเอาเปรียบจากคนอื่น
เสริมสร้างความมั่นใจ และเพิ่มพลังให้ตัวเอง

💬 “การปฏิเสธไม่ได้แปลว่าคุณเห็นแก่ตัว แต่มันแปลว่าคุณให้ความสำคัญกับชีวิตตัวเอง!”

1.2 การไม่กล้าปฏิเสธ… อาจทำให้ชีวิตพัง!

คุณรู้สึกเหนื่อยง่าย เพราะต้องทำทุกอย่างตามที่คนอื่นขอ
คุณถูกมองว่า ‘ใจดีเกินไป’ จนกลายเป็นคนที่ใคร ๆ ก็ใช้ประโยชน์ได้
คุณไม่มีเวลาให้กับตัวเอง เพราะมัวแต่ใช้เวลาไปกับเรื่องของคนอื่น

🎯 ตัวอย่างชีวิตจริง:
👩‍💻 “รับงานมากเกินไปจน Burnout”

  • คุณเป็นพนักงานที่ขยัน เจ้านายและเพื่อนร่วมงานมักมอบหมายงานให้เสมอ
  • แทนที่จะบอกว่า “ไม่ไหวแล้ว” คุณกลับตอบว่า “โอเค” ทุกครั้ง
  • สุดท้าย คุณเหนื่อยล้าและหมดไฟในการทำงาน

📌 ทางออก: กล้าที่จะปฏิเสธงานที่เกินความสามารถ เช่น “ตอนนี้ฉันมีงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะมาก อาจจะช่วยไม่ได้จริง ๆ”

1.3 การปฏิเสธช่วยให้คุณมีอิสระมากขึ้น

“การพูดว่า ‘ไม่’ อย่างมั่นใจ คือกุญแจสู่ชีวิตที่คุณต้องการ”

🎯 ตัวอย่างการนำไปปรับใช้ในชีวิต
📌 กรณีที่ 1: มีเพื่อนขอยืมเงิน แต่คุณไม่สะดวก
➡ แทนที่จะรู้สึกผิดแล้วให้ยืม → ให้พูดว่า “ขอโทษนะ ตอนนี้ฉันเองก็ต้องจัดการค่าใช้จ่ายของตัวเอง”

📌 กรณีที่ 2: ถูกขอให้ทำงานนอกเวลา แต่คุณอยากใช้เวลากับครอบครัว
➡ แทนที่จะรับงานเพราะเกรงใจ → ให้พูดว่า “วันนี้ฉันมีแผนกับครอบครัวแล้ว ไว้ครั้งหน้าอาจจะช่วยได้นะ”

📌 กรณีที่ 3: ถูกชวนไปงานเลี้ยงที่ไม่อยากไป
➡ แทนที่จะฝืนไป → ให้พูดว่า “ขอบคุณที่ชวนนะ แต่ฉันอยากใช้เวลากับตัวเองวันนี้”

1.4 วิธีปฏิเสธอย่างมั่นใจ (โดยไม่เสียมารยาท)

💬 “คุณสามารถพูดว่า ‘ไม่’ ได้ โดยไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกแย่!”

1. ใช้เหตุผลที่ชัดเจน“ฉันติดงานด่วน เลยไม่สามารถช่วยได้จริง ๆ”
2. แสดงความเห็นใจ แต่ยืนหยัดในการตัดสินใจ“เข้าใจเลยว่ามันสำคัญ แต่ฉันคงต้องขอผ่านนะ”
3. ไม่ต้องอธิบายเยอะ“ขอโทษนะ แต่ฉันไม่สะดวก”
4. เสนอทางเลือกอื่น (ถ้าสะดวก)“ตอนนี้ฉันช่วยไม่ได้ แต่ลองถามคนอื่นดูไหม?”

วิธีนำไปใช้ในชีวิตจริง

เรียนรู้ว่า “การปฏิเสธ” คือการเคารพตัวเอง
กล้าที่จะพูดว่า “ไม่” โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
กำหนดขอบเขตที่ชัดเจน เพื่อลดภาระที่ไม่จำเป็น
ใช้เทคนิคปฏิเสธอย่างมั่นใจ โดยไม่ทำร้ายความสัมพันธ์

💡 “การพูดว่า ‘ไม่’ กับสิ่งที่ไม่ใช่ คือการเปิดทางให้กับสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต!”


📖2. เหตุผลที่คนไม่กล้าปฏิเสธ | หนังสือ “พูดว่า ‘ไม่’ เพื่อสิ่งที่ใช่ในชีวิต”

💡 “ทำไมเราถึงรู้ว่าต้องปฏิเสธ… แต่กลับพูดว่า ‘ใช่’ อยู่เสมอ?”
📌 เคยไหม?

  • ถูกขอให้ช่วยงานเพิ่ม ทั้งที่งานตัวเองก็ล้นมืออยู่แล้ว แต่ก็ยังตอบว่า “ได้”
  • ถูกชวนไปงานที่ไม่อยากไป แต่ไม่กล้าปฏิเสธเพราะกลัวเสียมารยาท
  • ยอมทำอะไรบางอย่างที่ตัวเองไม่อยากทำ เพียงเพราะไม่อยากทำให้ใครผิดหวัง

สาเหตุหลักที่เราพูดว่า ‘ใช่’ ทั้งที่อยากพูดว่า ‘ไม่’ คือ ‘ความกลัว’

2.1 เหตุผลที่คนไม่กล้าปฏิเสธ

1. กลัวทำให้คนอื่นผิดหวัง (Fear of Disappointing Others)

🔹 เราไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกแย่
🔹 เรากังวลว่า ถ้าปฏิเสธไป อีกฝ่ายอาจจะเสียใจ หรือมองว่าเราเป็นคนใจร้าย

🎯 ตัวอย่างในชีวิตจริง
👩‍💼 หัวหน้าขอให้ทำงานนอกเวลา แต่เราก็มีภาระอื่นอยู่แล้ว
➡ แทนที่จะพูดว่า “ขอโทษค่ะ ฉันไม่สะดวก” กลับตอบว่า “โอเคค่ะ เดี๋ยวจัดการให้”
➡ ส่งผลให้เรา ทำงานหนักเกินไป และรู้สึกกดดัน

📌 ทางออก: “ความรู้สึกของคุณก็สำคัญ!”
✅ ลองพูดว่า “ฉันเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถรับเพิ่มได้จริง ๆ”

2. กลัวถูกมองว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว (Fear of Being Selfish)

🔹 คนส่วนใหญ่อยากเป็น ‘คนดี’ ที่ช่วยเหลือผู้อื่น
🔹 เราคิดว่าการปฏิเสธแปลว่าเราเป็นคนที่ไม่แคร์ใคร

🎯 ตัวอย่างในชีวิตจริง
👭 เพื่อนขอยืมเงิน แต่เราก็มีภาระของตัวเอง
➡ เราคิดว่า “ถ้าฉันไม่ให้ เขาจะคิดว่าฉันเป็นเพื่อนที่แย่ไหม?”
➡ แล้วเราก็ยอมให้ยืม ทั้งที่เราก็ไม่ได้สบายใจ

📌 ทางออก: “การปฏิเสธไม่ได้หมายความว่าคุณเห็นแก่ตัว!”
✅ ลองพูดว่า “ฉันอยากช่วยนะ แต่ตอนนี้ฉันก็มีภาระการเงินของตัวเองเหมือนกัน”

3. กลัวเสียความสัมพันธ์ (Fear of Damaging Relationships)

🔹 กลัวว่าถ้าปฏิเสธไป ความสัมพันธ์จะเปลี่ยนไป
🔹 กลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธ หรือเลิกคบ

🎯 ตัวอย่างในชีวิตจริง
👫 แฟนชวนไปเจอเพื่อนของเขา แต่เรารู้สึกเหนื่อยและอยากพักผ่อน
➡ เราคิดว่า “ถ้าฉันไม่ไป เขาจะคิดว่าฉันไม่สนใจชีวิตของเขาไหม?”
➡ สุดท้ายเราก็ไป ทั้งที่ไม่มีความสุข

📌 ทางออก: “ความสัมพันธ์ที่ดีควรมีพื้นที่ให้กันและกัน”
✅ ลองพูดว่า “ฉันอยากไปนะ แต่วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก ขอพักก่อนนะ ไว้คราวหน้าไปด้วยแน่นอน”

4. กลัวถูกมองว่าไม่มีน้ำใจ (Fear of Being Rude)

🔹 เราไม่อยากให้ใครมองว่าเราเป็นคนหยาบคาย
🔹 เรารู้สึกผิดถ้าปฏิเสธ เพราะคิดว่ามันไม่สุภาพ

🎯 ตัวอย่างในชีวิตจริง
👨‍💼 เพื่อนร่วมงานขอให้ช่วยงานเพิ่ม ทั้งที่มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา
➡ เรากลัวว่า ถ้าปฏิเสธไป เขาจะคิดว่าเราหยิ่ง หรือไม่มีน้ำใจ
➡ เราเลยตอบตกลง ทั้งที่รู้ว่าไม่มีเวลาทำ

📌 ทางออก: “ปฏิเสธอย่างมีมารยาท คือสิ่งที่ทำได้!”
✅ ลองพูดว่า “ฉันอยากช่วยนะ แต่ฉันมีงานที่ต้องโฟกัสอยู่แล้ว ถ้าหลังจากนี้มีเวลาจะช่วยแน่นอน”

5. กลัวพลาดโอกาส (Fear of Missing Out – FOMO)

🔹 บางครั้งเราไม่กล้าปฏิเสธ เพราะกลัวว่าถ้าพูดว่า ‘ไม่’ เราจะพลาดอะไรบางอย่าง
🔹 กลัวว่าคนอื่นจะได้โอกาสดีกว่า หรือสนุกกว่าเรา

🎯 ตัวอย่างในชีวิตจริง
🎉 เพื่อนชวนไปเที่ยวกลางคืน ทั้งที่เรารู้สึกเหนื่อยมาก
➡ เราคิดว่า “ถ้าฉันไม่ไป ฉันอาจจะพลาดเรื่องสนุก ๆ”
➡ เราเลยฝืนไป ทั้งที่รู้ว่าตัวเองอยากพัก

📌 ทางออก: “เลือกโอกาสที่เหมาะกับตัวเอง!”
✅ ลองพูดว่า “ฉันอยากไปนะ แต่คืนนี้ฉันขอพักก่อน ไว้คราวหน้าชวนอีกนะ!”

2.2 วิธีเอาชนะความกลัว และกล้าปฏิเสธอย่างมั่นใจ

1. เปลี่ยนมุมมองว่าการปฏิเสธคือ “การดูแลตัวเอง”
2. ฝึกพูดปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่หนักแน่น
3. ถ้าไม่สะดวกจริง ๆ ให้เสนอทางเลือกอื่นแทน
4. ไม่ต้องอธิบายเยอะ ถ้าคุณไม่อยากทำ ก็บอกแค่ “ไม่สะดวก”
5. ฝึกปฏิเสธบ่อย ๆ แล้วจะทำได้ง่ายขึ้น

วิธีนำไปใช้ในชีวิตจริง

เรียนรู้ว่าการปฏิเสธไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนไม่ดี
กล้าที่จะปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่มั่นใจ
เลือกสิ่งที่สำคัญกับชีวิต มากกว่าพยายามเอาใจทุกคน
ฝึกพูดว่า “ไม่” เพื่อให้ชีวิตดีขึ้น และมีเวลาสำหรับตัวเองมากขึ้น

💡 “เมื่อคุณกล้าพูดว่า ‘ไม่’ กับสิ่งที่ไม่สำคัญ คุณจะมีพลังและเวลาสำหรับสิ่งที่มีค่าจริง ๆ ในชีวิต”


📖 3. การปฏิเสธอย่างสุภาพและมั่นใจ | หนังสือ “พูดว่า ‘ไม่’ เพื่อสิ่งที่ใช่ในชีวิต”

💡 “การปฏิเสธไม่ได้แปลว่าคุณใจร้าย แต่มันคือการเคารพขอบเขตของตัวเอง”

📌 เคยไหม?

  • พูดว่า “ไม่” แล้วรู้สึกผิด ต้องรีบอธิบายยาว ๆ
  • ปฏิเสธไปแล้ว แต่โดนกดดันให้เปลี่ยนใจ
  • อยากปฏิเสธอย่างมั่นใจ แต่กลัวเสียความสัมพันธ์

ข่าวดีคือ คุณสามารถพูดว่า ‘ไม่’ ได้ โดยที่ยังดูสุภาพและมั่นใจ!

3.1 หลักการปฏิเสธอย่างสุภาพและมั่นใจ

1. ตรงไปตรงมา แต่ไม่ก้าวร้าว (Be Direct, Not Aggressive)

🔹 พูดอย่างชัดเจน ว่าคุณไม่สะดวกหรือไม่สามารถทำได้
🔹 ไม่ต้องพูดวกวน หรือใช้คำที่ทำให้ดูเหมือนลังเล

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิต
“อืม… ก็น่าสนใจนะ แต่ฉันไม่แน่ใจ เอาไว้ดูก่อนนะ” (ฟังดูลังเลและอีกฝ่ายอาจพยายามโน้มน้าวต่อ)
“ขอบคุณที่ชวนนะ แต่ฉันต้องขอผ่าน” (ชัดเจน ไม่ต้องอธิบายเยอะ)

2. ใช้ภาษากายที่มั่นใจ (Use Confident Body Language)

🔹 พูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ ไม่ใช่เสียงที่เหมือนลังเล
🔹 รักษาการสบตา ไม่หลบตา หรือดูอึดอัด

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิต
📌 เวลามีคนขอให้ช่วยงานเพิ่ม แต่คุณไม่สะดวก
“เอ่อ… ฉันคิดว่าอาจจะไม่ว่างนะ…” (เสียงเบา ไม่มั่นใจ)
“ขอโทษนะ ฉันมีงานของตัวเองที่ต้องทำอยู่แล้ว” (พูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน)

3. ปฏิเสธโดยใช้ ‘ฉัน’ แทน ‘คุณ’ (Use “I” Statements, Not “You”)

🔹 การใช้คำว่า “ฉัน” ทำให้คุณดูรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง
🔹 การใช้คำว่า “คุณ” อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกตำหนิ

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิต
📌 เมื่อเพื่อนชวนออกไปเที่ยว แต่คุณอยากพัก
“เธอชวนดึกเกินไปนะ ฉันไปไม่ได้!” (ดูเหมือนตำหนิอีกฝ่าย)
“ฉันต้องพักผ่อนคืนนี้ ขอบคุณที่ชวนนะ” (โฟกัสที่ตัวเอง ไม่กล่าวโทษ)

4. ให้เหตุผลสั้น ๆ ถ้าจำเป็น (Give a Short Reason, If Needed)

🔹 คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายเยอะ หรือให้เหตุผลทุกครั้ง
🔹 แต่ถ้ารู้สึกว่าอธิบายนิดหน่อยจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจมากขึ้น ก็สามารถให้ได้

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิต
📌 เมื่อเพื่อนร่วมงานขอให้ช่วยงานที่ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ
“ฉันช่วยไม่ได้!” (ดูแข็งกระด้าง)
“ฉันมีงานที่ต้องทำให้เสร็จก่อน ขอโทษนะ” (ให้เหตุผลสั้น ๆ)

5. เสนอทางเลือกอื่น (Offer an Alternative)

🔹 ถ้าคุณอยากช่วยแต่ไม่มีเวลาหรือไม่สะดวก คุณสามารถเสนอวิธีช่วยในแบบที่คุณทำได้

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิต
📌 เมื่อหัวหน้าขอให้ทำงานเพิ่ม แต่คุณมีงานล้นมือแล้ว
“ฉันช่วยตรงนี้ไม่ได้ แต่ฉันสามารถช่วยตรงนี้ได้แทนนะ”

📌 เมื่อเพื่อนขอให้ช่วยย้ายของ แต่คุณไม่สะดวก
“ฉันไปช่วยยกของไม่ได้ แต่ฉันช่วยหาอาสาสมัครให้นะ”

6. ฝึกใช้ “บันทึกการปฏิเสธ” (No Journal)

🔹 จดบันทึกทุกครั้งที่คุณปฏิเสธอะไรบางอย่าง และสังเกตว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร
🔹 ถ้าครั้งไหนปฏิเสธไปแล้วรู้สึกผิด ให้เขียนว่า “เพราะอะไร”

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิต
📌 ถ้าคุณรู้สึกผิดที่ปฏิเสธคำขอยืมเงินของเพื่อน
➡ ลองเขียนว่า “ฉันปฏิเสธเพราะฉันต้องจัดการการเงินของตัวเองก่อน”
➡ นี่ช่วยให้คุณเห็นว่า คุณมีเหตุผลที่ดีในการปฏิเสธ

วิธีฝึกปฏิเสธให้มั่นใจ

1. ฝึกพูด “ไม่” หน้ากระจก – ลองพูดให้ชัดเจน และมั่นใจ
2. ลองใช้วิธีปฏิเสธในสถานการณ์ง่าย ๆ ก่อน – เช่น ปฏิเสธโปรโมชันที่ร้านค้า
3. สังเกตว่าการปฏิเสธไม่ได้ทำให้คนอื่นเกลียดคุณ
4. ถ้าโดนกดดัน ให้ใช้เทคนิค “Repeat & Stay Firm”
5. เชื่อมั่นว่าคุณมีสิทธิ์ในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง


📖 4. การสร้างขอบเขตที่ชัดเจน | หนังสือ “พูดว่า ‘ไม่’ เพื่อสิ่งที่ใช่ในชีวิต”

💡 “ถ้าคุณไม่กำหนดขอบเขตให้ตัวเอง คนอื่นจะเป็นคนกำหนดขอบเขตให้คุณ”

📌 คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหม?

  • 😩 รู้สึกว่าคนอื่นเอาเปรียบคุณ เพราะคุณไม่กล้าพูดว่า “ไม่”
  • 😓 ถูกกดดันให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ แต่ไม่กล้าปฏิเสธ
  • ⏳ ไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง เพราะมัวแต่ใช้เวลาช่วยคนอื่น

“การสร้างขอบเขต” คือการกำหนดสิ่งที่คุณยอมรับได้และไม่ได้ เพื่อให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล และไม่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบ”

4.1 ขอบเขตคืออะไร? และทำไมจึงสำคัญ?

ขอบเขต (Boundaries) คือ กฎเกณฑ์ส่วนตัวที่คุณตั้งไว้ เพื่อปกป้องพลังงาน เวลา และอารมณ์ของตัวเอง

ทำให้คุณมีเวลาสำหรับตัวเองมากขึ้น
ลดความเครียดจากการต้องเอาใจทุกคน
ทำให้คนอื่นรู้ว่าอะไรที่คุณยอมรับได้และอะไรที่คุณไม่ยอมรับ
เสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง

💡 “การมีขอบเขต ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนแข็งกระด้าง แต่มันคือการเคารพตัวเอง!”

4.2 ประเภทของขอบเขตที่ควรกำหนด

1. ขอบเขตด้านเวลา (Time Boundaries)

🔹 จัดการเวลาของตัวเองอย่างชัดเจน
🔹 ปฏิเสธสิ่งที่รบกวนเวลาของคุณ

🎯 ตัวอย่างในชีวิตจริง
📌 เพื่อนชอบโทรมาบ่นเรื่องเดิม ๆ นานเป็นชั่วโมง
✅ ลองพูดว่า “ฉันมีเวลาแค่ 15 นาที ถ้าเกินกว่านั้น ฉันต้องไปทำอย่างอื่นนะ”

📌 หัวหน้าสั่งงานด่วนตอนเลิกงาน
✅ ลองพูดว่า “ฉันต้องกลับบ้านแล้ว ถ้าเป็นเรื่องเร่งด่วนจริง ๆ ฉันช่วยได้พรุ่งนี้เช้า”

2. ขอบเขตด้านอารมณ์ (Emotional Boundaries)

🔹 ปกป้องตัวเองจากพลังลบ
🔹 ไม่รับความเครียดของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง

🎯 ตัวอย่างในชีวิตจริง
📌 เพื่อนร่วมงานชอบระบายเรื่องแย่ ๆ จนคุณรู้สึกหมดพลัง
✅ ลองพูดว่า “ฉันเข้าใจนะว่ามันยาก แต่ฉันไม่อยากให้เรื่องนี้มาทำให้ฉันเครียดไปด้วย”

📌 ครอบครัวชอบกดดันให้คุณทำในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ
✅ ลองพูดว่า “ฉันรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญกับทุกคน แต่ฉันขอเวลาตัดสินใจเองนะ”

3. ขอบเขตด้านร่างกาย (Physical Boundaries)

🔹 ป้องกันตัวเองจากการถูกละเมิดพื้นที่ส่วนตัว
🔹 บอกให้คนอื่นรู้ว่าคุณต้องการพื้นที่แค่ไหน

🎯 ตัวอย่างในชีวิตจริง
📌 เพื่อนร่วมงานชอบแตะตัวคุณมากเกินไป
✅ ลองพูดว่า “ฉันไม่ค่อยสบายใจเวลามีการสัมผัสตัวเยอะ ๆ ขอเว้นระยะหน่อยนะ”

📌 ญาติชอบบังคับให้กอดหรือสัมผัสตัว
✅ ลองพูดว่า “ฉันไม่ค่อยชอบการกอดเท่าไหร่ แต่ฉันดีใจที่ได้เจอคุณนะ”

4. ขอบเขตด้านการเงิน (Financial Boundaries)

🔹 ป้องกันการถูกขอยืมเงินซ้ำ ๆ
🔹 จัดการรายรับรายจ่ายของตัวเองได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด

🎯 ตัวอย่างในชีวิตจริง
📌 เพื่อนขอยืมเงินเป็นครั้งที่สามแล้ว
✅ ลองพูดว่า “ฉันให้ยืมครั้งนี้ไม่ได้แล้วนะ เพราะฉันต้องจัดการเรื่องเงินของตัวเองเหมือนกัน”

📌 ญาติขอให้ช่วยออกค่าใช้จ่าย ทั้งที่คุณเองก็ลำบาก
✅ ลองพูดว่า “ฉันเองก็ต้องจัดการค่าใช้จ่ายของตัวเอง ขอผ่านนะ”

5. ขอบเขตด้านพฤติกรรม (Behavioral Boundaries)

🔹 บอกให้คนอื่นรู้ว่าพฤติกรรมแบบไหนที่คุณไม่สามารถยอมรับได้
🔹 หลีกเลี่ยงการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

🎯 ตัวอย่างในชีวิตจริง
📌 เพื่อนร่วมงานชอบพูดจาไม่ให้เกียรติ
✅ ลองพูดว่า “ฉันอยากให้เราพูดคุยกันด้วยความเคารพกันนะ”

📌 แฟนชอบใช้คำพูดประชดประชัน
✅ ลองพูดว่า “ฉันรู้สึกไม่ดีเลยเวลาถูกประชด ฉันอยากให้เราคุยกันตรง ๆ มากกว่านะ”

4.3 วิธีสร้างขอบเขตที่ดีโดยไม่ทำให้ความสัมพันธ์เสียหาย

1. บอกขอบเขตของคุณให้ชัดเจน
“ฉันไม่สะดวกช่วยงานนี้นะ แต่ถ้าต้องการคำแนะนำ ฉันช่วยได้”

2. ใช้คำพูดที่มั่นคง แต่สุภาพ
“ฉันรู้ว่าเธอเดือดร้อน แต่ฉันไม่สามารถช่วยเรื่องเงินได้จริง ๆ”

3. ใช้ภาษากายที่มั่นใจ
➡ สบตา พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ไม่ลังเล

4. ถ้าอีกฝ่ายกดดัน ให้ใช้ “Repeat & Stay Firm”
“ฉันเข้าใจว่ามันสำคัญ แต่ฉันไม่สามารถช่วยได้จริง ๆ”

5. ฝึกพูด “ไม่” ให้เป็นธรรมชาติ
➡ ลองปฏิเสธสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เช่น ปฏิเสธโปรโมชันจากพนักงานขาย


วิธีนำไปใช้ในชีวิตจริง

กำหนดขอบเขตที่ชัดเจนเกี่ยวกับเวลา อารมณ์ การเงิน และความสัมพันธ์
ใช้คำพูดที่มั่นใจ แต่สุภาพ
ไม่ต้องรู้สึกผิดกับการปกป้องตัวเอง
ฝึกพูดว่า “ไม่” จนเป็นธรรมชาติ

💡 “เมื่อคุณกล้ากำหนดขอบเขตให้ตัวเอง คุณจะมีอิสระมากขึ้น และใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการได้จริง ๆ”


📖 5. การจัดการกับความรู้สึกผิดหลังการปฏิเสธ | หนังสือ “พูดว่า ‘ไม่’ เพื่อสิ่งที่ใช่ในชีวิต”

💡 “ทำไมเราถึงรู้สึกผิดหลังจากพูดว่า ‘ไม่’?”

คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหม?

  • หลังจากปฏิเสธคำขอของใครบางคน แล้วรู้สึกผิดจนไม่สบายใจ
  • กลัวว่าอีกฝ่ายจะมองว่าคุณเป็นคนใจร้าย
  • คิดซ้ำ ๆ ว่าคุณควรจะช่วย ทั้งที่คุณเองก็มีข้อจำกัด

ข่าวดีคือ คุณสามารถเรียนรู้ที่จะปฏิเสธอย่างมั่นใจ และปล่อยวางความรู้สึกผิดได้!

5.1 ทำไมเราถึงรู้สึกผิดหลังการปฏิเสธ?

📌 1. เราถูกสอนให้ช่วยเหลือคนอื่น
🔹 สังคมมักสอนว่า “การช่วยเหลือผู้อื่นคือสิ่งดี”
🔹 เราเลยรู้สึกผิดเมื่อไม่ได้ช่วย

📌 2. กลัวทำให้คนอื่นผิดหวัง
🔹 เราไม่อยากให้คนอื่นเสียใจหรือรู้สึกไม่ดีกับเรา
🔹 เราเลยยอมทำบางอย่างแม้ว่ามันจะไม่สะดวกสำหรับเรา

📌 3. กลัวทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนไป
🔹 เรากังวลว่าถ้าปฏิเสธไป อีกฝ่ายอาจโกรธหรือเลิกคบ

📌 4. คิดว่าการปฏิเสธคือการเป็นคนเห็นแก่ตัว
🔹 เรามักมองว่าการช่วยเหลือคือสิ่งที่ “คนดี” ควรทำ
🔹 ถ้าเราปฏิเสธ เราอาจรู้สึกว่าเราเป็น “คนไม่ดี”

📌 5. คิดว่าถ้าปฏิเสธแล้ว อาจพลาดโอกาสบางอย่าง
🔹 กลัวว่าถ้าไม่รับโอกาสตอนนี้ อาจไม่มีโอกาสอีก

💡 “แต่จริง ๆ แล้ว… การปฏิเสธไม่ได้ทำให้คุณเป็นคนไม่ดี แต่มันช่วยให้คุณใช้พลังงานไปกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ในชีวิต!”


5.2 วิธีจัดการกับความรู้สึกผิดหลังการปฏิเสธ

1. เปลี่ยนมุมมอง: การปฏิเสธไม่ใช่เรื่องแย่

🔹 การปฏิเสธคือการดูแลตัวเอง ไม่ใช่การทำร้ายใคร
🔹 ถ้าคุณพูดว่า “ใช่” กับทุกอย่าง สุดท้ายคุณจะไม่มีพลังงานพอสำหรับตัวเอง

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตจริง
📌 กรณีที่ 1: เพื่อนขอให้คุณช่วยงาน แต่คุณยุ่งมาก
❌ คิดว่า: “ฉันต้องช่วย ไม่งั้นเขาคงผิดหวัง”
✅ เปลี่ยนเป็น: “ฉันก็มีภาระของตัวเอง ถ้าฉันช่วยทุกคน ฉันจะไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง”

2. เข้าใจว่า “ความรู้สึกผิด” เป็นเรื่องปกติ แต่ไม่จำเป็นต้องทำตามมัน

🔹 รู้สึกผิดได้ แต่อย่าให้มันควบคุมการตัดสินใจของคุณ
🔹 บางครั้งเราต้องรับมือกับความรู้สึกผิดบ้าง เพื่อปกป้องสิ่งที่สำคัญกับตัวเอง

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตจริง
📌 กรณีที่ 2: ครอบครัวขอให้คุณเข้าร่วมงานที่คุณไม่สะดวกไป
❌ คิดว่า: “ฉันต้องไป ไม่งั้นพวกเขาจะไม่พอใจ”
✅ เปลี่ยนเป็น: “ฉันอยากไปนะ แต่ฉันก็ต้องการเวลาพักผ่อนเหมือนกัน”

3. ใช้ “No + Alternative” เทคนิคปฏิเสธพร้อมทางเลือก

🔹 ถ้าคุณรู้สึกผิดเพราะไม่สามารถช่วยได้ ลองเสนอวิธีอื่นที่คุณสามารถช่วยได้

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตจริง
📌 กรณีที่ 3: หัวหน้าขอให้คุณทำงานเพิ่ม แต่คุณมีภาระงานอยู่แล้ว
❌ พูดว่า: “ขอโทษค่ะ ฉันทำไม่ได้” (อาจรู้สึกผิดมาก)
✅ เปลี่ยนเป็น: “ฉันทำไม่ได้ตอนนี้ แต่ฉันช่วยดูให้พรุ่งนี้ได้ค่ะ”

4. อย่าขอโทษบ่อยเกินไป (Stop Over-Apologizing)

🔹 การพูดว่า “ขอโทษ” ตลอดเวลา อาจทำให้คุณรู้สึกผิดมากขึ้น
🔹 คุณสามารถปฏิเสธได้ โดยไม่ต้องขอโทษทุกครั้ง

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตจริง
📌 กรณีที่ 4: เพื่อนขอให้คุณช่วย แต่คุณไม่สะดวก
❌ พูดว่า: “ขอโทษนะ ฉันทำไม่ได้”
✅ เปลี่ยนเป็น: “ฉันไม่สะดวกช่วยตอนนี้ แต่ขอให้โชคดีนะ!”

5. ฝึกพูด “ไม่” ให้เป็นเรื่องปกติ

🔹 ยิ่งคุณปฏิเสธบ่อย คุณจะยิ่งรู้สึกผิดน้อยลง
🔹 ฝึกปฏิเสธสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เช่น ปฏิเสธโปรโมชันจากพนักงานขาย

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตจริง
📌 กรณีที่ 5: ร้านค้าพยายามขายของให้คุณ
✅ แทนที่จะรู้สึกผิดที่ไม่ซื้อ → “ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่สนใจ”

6. หยุดคิดมากเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นคิด

🔹 คนอื่นอาจจะผิดหวังชั่วคราว แต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น
🔹 ส่วนใหญ่คนจะเข้าใจและไม่ถือโทษคุณ

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตจริง
📌 กรณีที่ 6: เพื่อนขอให้คุณไปเที่ยว แต่คุณอยากพัก
❌ คิดว่า: “ถ้าฉันไม่ไป เขาคงคิดว่าฉันไม่สนใจเขา”
✅ เปลี่ยนเป็น: “เขาคงเข้าใจ ถ้าฉันต้องการเวลาพักผ่อน”

7. ถามตัวเองว่า “ถ้าฉันตอบตกลง ฉันจะรู้สึกอย่างไร?”

🔹 ถ้าคำตอบคือ “เครียด เหนื่อย หรือไม่มีความสุข” นั่นแปลว่าคุณควรปฏิเสธ

🎯 ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตจริง
📌 กรณีที่ 7: คนรู้จักขอให้คุณเข้าร่วมโปรเจกต์ที่คุณไม่สนใจ
✅ ถ้าคิดแล้วว่ามันทำให้คุณเครียด → “ขอบคุณที่ชวนนะ แต่ฉันขอโฟกัสกับสิ่งที่ฉันทำอยู่ดีกว่า”

วิธีนำไปใช้ในชีวิตจริง

เปลี่ยนมุมมองว่าการปฏิเสธไม่ใช่เรื่องแย่ แต่เป็นการดูแลตัวเอง
เข้าใจว่าความรู้สึกผิดเป็นเรื่องปกติ แต่คุณไม่ต้องทำตามมัน
ใช้เทคนิค “No + Alternative” เพื่อเสนอทางเลือกอื่นแทน
หยุดขอโทษบ่อยเกินไป และพูดปฏิเสธอย่างมั่นใจ
ฝึกปฏิเสธสิ่งเล็ก ๆ ก่อน เพื่อให้ชินกับการพูด “ไม่”
อย่าคิดมากเกี่ยวกับสิ่งที่คนอื่นจะคิด เพราะสุดท้ายมันไม่ใช่เรื่องใหญ่

💡 “อย่าให้ความรู้สึกผิดมาขโมยเวลาของคุณไปจากสิ่งที่สำคัญจริง ๆ!”

Related Posts

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *