Book Review

รีวิวหนังสือเดินออกจาก COMFORT ZONE ซะที

เพื่อเอาชนะความเคยชินแบบเดิมๆ ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง และ เอาชนะสัญชาตญาณที่ขัดขวางการเปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาไปสู่ความสำเร็จ โดยใช้แนวคิด “พลิกสัญชาตญาณ” ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความคิดให้มีมุมมองใหม่ๆ

เมื่อเราสามารถเอาชนะความกลัวและความเคยชินที่ขังเราไว้ใน Comfort Zone ได้ เราจะสามารถพัฒนาตนเอง มองเห็นโอกาส และใช้ชีวิตได้อย่างเต็มศักยภาพ รายละเอียดจะแบ่งออกเป็น 3 ภาคหลัก ที่ช่วยให้เข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

ภาคที่ 1: เพิ่มความสามารถในการพลิกสัญชาตญาณของตนเอง

  • ทำไมการเปลี่ยนแปลงจึงยากนัก
  • เราทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะอะไร
  • อะไรที่ขัดขวางเราไม่ให้ก้าวสู่ความสำเร็จ

ภาคที่ 2: การคบหาเป็นกลุ่มเพื่อพลิกสัญชาตญาณของตนเอง

  • อิทธิพลของคนรอบตัว
  • วิธีหาสังคมที่ช่วยผลักดันการเติบโต
  • การสร้างเครือข่ายที่ส่งเสริมความสำเร็จ

ภาคที่ 3: ข้อมูลเชิงลึกทางสังคมในการพลิกสัญชาตญาณของตนเอง

  • สังคมมีผลต่อวิธีคิดของเรามากแค่ไหน
  • วิธีหลุดพ้นจากกับดักของความเชื่อเก่าๆ
  • การเปลี่ยนมุมมองต่อความล้มเหลว

สารบัญหน้า

รายละเอียดภาคที่ 1: เพิ่มความสามารถในการพลิกสัญชาตญาณของตนเอง

ภาคนี้กล่าวถึง เหตุผลที่เราติดอยู่ใน Comfort Zone และ กลไกทางจิตวิทยาที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยาก พร้อมทั้งเสนอวิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อเอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง

🔹 หัวข้อสำคัญในภาคที่ 1

  1. ทำไมการเปลี่ยนแปลงจึงยากนัก

    • สมองของเราชอบความเคยชิน เพราะช่วยประหยัดพลังงาน
    • ความกลัวต่อสิ่งไม่รู้จัก (Fear of the Unknown) ทำให้เราไม่กล้าเสี่ยง
    • เรามักใช้เหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่อคงพฤติกรรมเดิม
  2. เราทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะอะไร

    • พฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กลายเป็นนิสัยที่ควบคุมโดยระบบอัตโนมัติของสมอง
    • คนเรามักเลือกเส้นทางที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด (Law of Least Effort)
    • ข้อผิดพลาดเดิมเกิดจากการขาดการเรียนรู้จากความผิดพลาด
  3. อะไรที่ขัดขวางเราไม่ให้ก้าวสู่ความสำเร็จ

    • การกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure) ทำให้ไม่กล้าลองสิ่งใหม่
    • การยึดติดกับอดีต ทำให้เรากังวลและไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
    • สภาพแวดล้อมที่ไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

🔹 วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง

  1. เอาชนะความกลัวด้วยหลักการ “ทดลองเล็กๆ” (Small Experiment)

    • หลักการ: ลดความกดดันจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ก่อน
    • ตัวอย่าง:
      • ถ้าคุณกลัวการพูดในที่สาธารณะ ให้เริ่มจากพูดในกลุ่มเล็กๆ ก่อน
      • ถ้าคุณอยากออกกำลังกาย แต่ขี้เกียจ ให้เริ่มจากการเดิน 5 นาทีต่อวัน
  2. เลิกคิดมาก แล้วลงมือทำ (Action Over Analysis)

    • หลักการ: แทนที่จะรอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ให้เริ่มต้นทันที
    • ตัวอย่าง:
      • ถ้าคุณอยากเริ่มธุรกิจใหม่ อย่ามัวแต่ศึกษาข้อมูล ให้ลองเปิดร้านทดลองแบบเล็กๆ ก่อน
      • ถ้าคุณอยากเรียนภาษาใหม่ ให้เริ่มจากพูดประโยคง่ายๆ แทนการรอให้พูดได้คล่องก่อน
  3. เปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเพื่อกระตุ้นพฤติกรรมใหม่ (Environment Design)

    • หลักการ: เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
    • ตัวอย่าง:
      • ถ้าคุณอยากอ่านหนังสือมากขึ้น ให้วางหนังสือไว้ที่หัวเตียงหรือโต๊ะทำงาน
      • ถ้าคุณอยากลดเล่นมือถือ ให้วางมือถือให้ไกลจากตัวก่อนนอน

🔹 ตัวอย่างการนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง

📌 กรณีศึกษา: การก้าวข้ามความกลัวการออกกำลังกาย
👩‍💼 สถานการณ์: แก้วเป็นพนักงานออฟฟิศที่อยากออกกำลังกาย แต่รู้สึกอายเมื่อต้องไปฟิตเนส
🔹 ปัญหา: กลัวคนอื่นมองว่าตัวเองออกกำลังกายไม่เป็น
แนวทางปรับใช้:

  1. เริ่มจากออกกำลังกายที่บ้าน 10 นาทีทุกวัน
  2. ใช้วิธี Small Experiment โดยไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะก่อน
  3. หาพาร์ทเนอร์ที่ฟิตเนสเพื่อสร้างความมั่นใจ
  4. ตั้งเป้าหมายเล็กๆ เช่น เข้าฟิตเนสสัปดาห์ละ 2 วัน

🎯 ผลลัพธ์: แก้วเริ่มออกกำลังกายเป็นประจำ รู้สึกมั่นใจขึ้น และสุขภาพดีขึ้น

🔹 สรุปแนวคิดจากภาคที่ 1

เปลี่ยนแปลงไม่ได้แปลว่าต้องทำสิ่งใหญ่โต เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ก่อน
เลิกกลัวความล้มเหลว แล้วมองเป็นการทดลอง
ออกจาก Comfort Zone โดยใช้การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
ลงมือทำมากกว่าคิดมากเกินไป

🚀 ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงชีวิต ลองเริ่มจาก “การทดลองเล็กๆ” ตั้งแต่วันนี้!


รายละเอียดภาคที่ 2: การคบหาเป็นกลุ่มเพื่อพลิกสัญชาตญาณของตนเอง

ภาคนี้เน้น อิทธิพลของคนรอบข้าง ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม ความคิด และการพัฒนาตัวเอง เรามักไม่รู้ตัวว่า สังคมที่เราอยู่มีผลต่อการตัดสินใจและนิสัยของเราอย่างมาก การเลือกคบหาคนที่มีแนวคิดและพฤติกรรมที่ดี จะช่วยผลักดันให้เราก้าวออกจาก Comfort Zone ได้ง่ายขึ้น

🔹 หัวข้อสำคัญในภาคที่ 2

  1. อิทธิพลของคนรอบตัวต่อพฤติกรรมของเรา

    • เรามักซึมซับพฤติกรรมของคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว
    • ทฤษฎี Mirror Neurons อธิบายว่าเรามีแนวโน้มเลียนแบบพฤติกรรมของผู้อื่น
    • การอยู่ในกลุ่มที่มีเป้าหมายเดียวกัน จะช่วยให้เรามีโอกาสเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เร็วขึ้น
  2. วิธีหาสังคมที่ช่วยผลักดันให้เราเติบโต

    • วิธีสังเกตว่ากลุ่มที่เราอยู่ช่วยให้เราดีขึ้นหรือไม่
    • วิธีเลือกคบคนที่ช่วยให้เราพัฒนา
    • การสร้างเครือข่ายที่ส่งเสริมความสำเร็จ
  3. ทำไมการอยู่ใน “กลุ่มที่ใช่” ช่วยให้เราก้าวออกจาก Comfort Zone ได้ง่ายขึ้น

    • คนรอบข้างสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เรา
    • กลุ่มที่ดีช่วยให้เรารับมือกับความล้มเหลวได้ง่ายขึ้น
    • การอยู่ในกลุ่มที่มีความคิดเติบโต (Growth Mindset) ช่วยให้เรากล้าลงมือทำ

🔹 วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง

1. เปลี่ยนสังคมรอบตัวเพื่อสร้างแรงผลักดัน

หลักการ: ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลองเข้าร่วมกลุ่มที่มีเป้าหมายเดียวกับคุณ
ตัวอย่างการนำไปใช้:

  • ถ้าคุณอยากวิ่งออกกำลังกาย เข้าร่วมชมรมวิ่งหรือชวนเพื่อนมาวิ่งด้วยกัน
  • ถ้าคุณอยากพัฒนาทักษะทางธุรกิจ เข้าร่วมกลุ่มผู้ประกอบการ หรือสัมมนาทางธุรกิจ

ผลลัพธ์: เมื่อคุณอยู่ในสังคมที่กระตุ้นให้พัฒนาตัวเอง การออกจาก Comfort Zone จะง่ายขึ้น

2. ใช้พลังของ “Accountability Partner” (คู่หูรับผิดชอบ)

หลักการ: การมีคู่หูช่วยให้เรามีแรงผลักดันมากขึ้น เพราะเราจะรู้สึกว่ามีคนคอยติดตามผล
ตัวอย่างการนำไปใช้:

  • ถ้าคุณอยากลดน้ำหนัก หาคนที่ต้องการลดน้ำหนักเหมือนกัน แล้วคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
  • ถ้าคุณอยากเรียนภาษาใหม่ จับคู่กับเพื่อนแล้วฝึกพูดภาษาอังกฤษทุกวัน

ผลลัพธ์: คุณจะมีแรงจูงใจและมีความรับผิดชอบต่อเป้าหมายของตัวเองมากขึ้น

3. ใช้ “Social Proof” เพื่อกระตุ้นตัวเอง

หลักการ: คนเรามักทำตามสิ่งที่เห็นว่าคนอื่นทำแล้วได้ผลดี
ตัวอย่างการนำไปใช้:

  • ถ้าคุณอยากอ่านหนังสือมากขึ้น เข้าร่วมกลุ่มรีวิวหนังสือ หรือแชร์สิ่งที่คุณอ่านกับเพื่อน
  • ถ้าคุณอยากสร้างนิสัยการออมเงิน เข้าร่วมกลุ่มออมเงิน แล้วติดตามผลกับคนในกลุ่ม

ผลลัพธ์: คุณจะรู้สึกมีแรงบันดาลใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่าคนอื่นทำได้

🔹 ตัวอย่างการนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง

📌 กรณีศึกษา: อยากเป็นนักพูดที่มั่นใจในที่สาธารณะ

👨‍💼 สถานการณ์: ต้นกล้าเป็นพนักงานที่ต้องพรีเซนต์งานบ่อย แต่ขาดความมั่นใจและตื่นเต้นทุกครั้งที่พูดต่อหน้าคนเยอะๆ
🔹 ปัญหา: เขาพยายามฝึกเองหลายครั้งแต่ยังรู้สึกกลัว
แนวทางปรับใช้:

  1. สมัครเข้าร่วมชมรม Toastmasters หรือกลุ่มฝึกพูดในที่สาธารณะ
  2. หาคู่หูฝึกพูดที่ช่วยให้คำแนะนำและให้กำลังใจ
  3. ใช้ Social Proof โดยดูวิดีโอนักพูดที่ดีและนำเทคนิคมาใช้
  4. เริ่มฝึกพูดต่อหน้ากลุ่มเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยขยายไปกลุ่มที่ใหญ่ขึ้น

🎯 ผลลัพธ์: ต้นกล้ามีความมั่นใจมากขึ้น และสามารถพูดต่อหน้าคนจำนวนมากได้โดยไม่ตื่นเต้น

🔹 สรุปแนวคิดจากภาคที่ 2

คนรอบข้างมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเรามากกว่าที่คิด
เลือกสังคมที่ช่วยผลักดันให้เราพัฒนา ไม่ใช่ฉุดรั้งเราไว้
ใช้พลังของคู่หูและกลุ่มที่มีเป้าหมายเดียวกันเพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนแปลง
เห็นตัวอย่างความสำเร็จจากคนอื่นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง

🚀 ถ้าคุณอยากก้าวออกจาก Comfort Zone ลองเปลี่ยนแวดล้อมรอบตัว แล้วคุณจะเห็นผลลัพธ์ที่ต่างไป!


รายละเอียดภาคที่ 3: ข้อมูลเชิงลึกทางสังคมในการพลิกสัญชาตญาณของตนเอง

ภาคนี้มุ่งเน้นไปที่ อิทธิพลของสังคม วัฒนธรรม และโครงสร้างทางสังคม ที่มีผลต่อพฤติกรรมและความคิดของเรา ซึ่งหลายครั้งเราไม่รู้ตัวว่า ค่านิยมทางสังคมและการถูกกดดันจากสังคม (Social Pressure) ทำให้เราติดอยู่ใน Comfort Zone การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถออกจากกรอบที่สังคมกำหนด และพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มที่

🔹 หัวข้อสำคัญในภาคที่ 3

  1. สังคมมีผลต่อวิธีคิดของเรามากแค่ไหน

    • ทฤษฎี Social Conditioning อธิบายว่าเราถูกหล่อหลอมจากค่านิยมของสังคมที่เราอยู่
    • ตัวอย่างเช่น ในบางวัฒนธรรมการเป็นพนักงานประจำถูกมองว่ามั่นคงกว่าการเป็นเจ้าของธุรกิจ ทำให้หลายคนไม่กล้าลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง
  2. วิธีหลุดพ้นจากกับดักของความเชื่อเก่าๆ

    • วิธีตั้งคำถามกับความเชื่อที่เคยมี เช่น “ทำไมฉันต้องทำงานแบบนี้?” “ทำไมฉันต้องทำตามสิ่งที่สังคมบอกว่าเป็นความสำเร็จ?”
    • การมองหาหลักฐานใหม่ๆ เพื่อสร้างความเชื่อที่ส่งเสริมการเติบโต
  3. การเปลี่ยนมุมมองต่อความล้มเหลวและความสำเร็จ

    • ในบางสังคม ความล้มเหลวถูกมองเป็นเรื่องน่าอาย ทำให้คนไม่กล้าลองทำสิ่งใหม่
    • วิธีปรับแนวคิดให้มองว่าความล้มเหลวคือบทเรียน ไม่ใช่จุดจบ

🔹 วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง

1. ท้าทายความเชื่อเดิมๆ ที่ฉุดรั้งคุณไว้

หลักการ: ตรวจสอบความเชื่อที่คุณยึดถือมานานว่าเป็น “ความจริง” หรือเป็นเพียงสิ่งที่สังคมปลูกฝัง
ตัวอย่างการนำไปใช้:

  • ถ้าคุณเคยคิดว่า “ความมั่นคงคือการมีงานประจำ” ลองศึกษาเรื่องธุรกิจส่วนตัว หรือ Passive Income ดูว่ามีทางเลือกอื่นไหม
  • ถ้าคุณเคยคิดว่า “อายุมากแล้วเปลี่ยนงานไม่ได้” ลองดูตัวอย่างคนที่เปลี่ยนอาชีพสำเร็จแม้อายุเยอะ

ผลลัพธ์: คุณจะมีทางเลือกใหม่ในชีวิตที่คุณไม่เคยพิจารณามาก่อน

2. ปรับทัศนคติต่อความล้มเหลวให้เป็นเรื่องปกติ

หลักการ: ถ้าคุณมองความล้มเหลวเป็นเพียง “ข้อมูลย้อนกลับ” (Feedback) ไม่ใช่ “ข้อผิดพลาด” คุณจะกล้าลองสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น
ตัวอย่างการนำไปใช้:

  • ถ้าคุณทำธุรกิจแล้วล้มเหลว ให้มองว่าเป็นประสบการณ์ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย
  • ถ้าคุณสอบไม่ผ่าน ให้มองว่าเป็นข้อมูลว่าต้องปรับปรุงตรงไหน แทนที่จะคิดว่าตัวเองไม่เก่ง

ผลลัพธ์: คุณจะกล้าทดลองสิ่งใหม่ และเรียนรู้จากความผิดพลาด

3. ใช้หลัก “สังคมใหม่ สร้างแนวคิดใหม่”

หลักการ: ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแนวคิด ให้ลองเปลี่ยนกลุ่มคนที่คุณใช้เวลาด้วย
ตัวอย่างการนำไปใช้:

  • ถ้าคุณอยากเป็นนักธุรกิจ เข้าร่วมกลุ่มนักธุรกิจหรืออ่านเรื่องราวของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
  • ถ้าคุณอยากพัฒนาทักษะการพูด ลองอยู่กับคนที่พูดเก่งและเรียนรู้จากพวกเขา

ผลลัพธ์: สังคมใหม่จะช่วยให้คุณเปลี่ยนวิธีคิดโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก

🔹 ตัวอย่างการนำไปปรับใช้ในชีวิตจริง

📌 กรณีศึกษา: อยากเปลี่ยนสายงานแต่กลัวสังคมตัดสิน

👩‍💻 สถานการณ์: อรเป็นพนักงานบัญชีมานาน 10 ปี แต่เธออยากเปลี่ยนไปทำงานด้านการตลาดออนไลน์ แต่กลัวว่าครอบครัวและเพื่อนๆ จะมองว่าเธอไม่มีความมั่นคง
🔹 ปัญหา: เธอถูกปลูกฝังว่าการทำงานบัญชีเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่เธอไม่มีความสุขกับมัน
แนวทางปรับใช้:

  1. ทบทวนความเชื่อของตัวเองว่า “มั่นคง” หมายถึงอะไรสำหรับเธอจริงๆ
  2. ศึกษาเรื่อง Digital Marketing และเริ่มทำเป็นงานเสริมก่อน
  3. พูดคุยกับคนที่เปลี่ยนสายงานสำเร็จเพื่อรับมุมมองใหม่
  4. เมื่อมีความมั่นใจมากขึ้น ค่อยๆ วางแผนเปลี่ยนอาชีพ

🎯 ผลลัพธ์: อรสามารถก้าวออกจากกรอบความคิดเดิม และสร้างเส้นทางอาชีพที่เธอพอใจได้

🔹 สรุปแนวคิดจากภาคที่ 3

สังคมมีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรมของเรามากกว่าที่คิด
ความเชื่อบางอย่างที่เรายึดถือ อาจเป็นข้อจำกัดที่ฉุดรั้งเราไว้
การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเกี่ยวกับความล้มเหลว จะช่วยให้เราก้าวหน้าได้เร็วขึ้น
ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทางสังคมของคุณ

🚀 คุณสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ อย่าปล่อยให้ค่านิยมของสังคมเป็นตัวกำหนดอนาคตของคุณ!

Related Posts

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *