“Money Lecture เรียนหนึ่งครั้ง ใช้ได้ทั้งชีวิต” เป็นหนังสือที่เขียนโดย ลงทุนศาสตร์ (กิตติศักดิ์ คงคา) ซึ่งเป็นนักวางแผนการเงินและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน หนังสือเล่มนี้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจ พื้นฐานการเงิน ได้อย่างง่ายดายและสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ทันที
📌 ทำไมต้องอ่านหนังสือเล่มนี้?
หลายคนอาจเคยรู้สึกว่าเรื่อง การเงินส่วนบุคคลเป็นเรื่องยากและซับซ้อน แต่หนังสือเล่มนี้ทำให้การเงินกลายเป็นเรื่องที่ เข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง และสามารถใช้วางแผนชีวิตระยะยาวได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นมนุษย์เงินเดือน นักธุรกิจ หรือคนที่กำลังเริ่มต้นลงทุน
📖 เนื้อหาในหนังสือครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง?
หนังสือ “Money Lecture” พูดถึง 7 ประเด็นสำคัญ ที่เป็นหัวใจของการวางแผนการเงินเพื่ออนาคต ได้แก่:
1️⃣ ความรู้พื้นฐานทางการเงิน – เข้าใจรายรับ-รายจ่าย หนี้สิน และการออม
2️⃣ การวางเป้าหมายทางการเงิน – ตั้งเป้าหมายการเงินที่ชัดเจนและวัดผลได้
3️⃣ การออมและการลงทุน – วิธีเก็บเงินและเลือกการลงทุนที่เหมาะสม
4️⃣ การวางแผนเกษียณ – เตรียมตัวให้มีชีวิตที่มั่นคงหลังเกษียณ
5️⃣ การบริหารความเสี่ยง – ป้องกันความเสี่ยงทางการเงินและการทำประกัน
6️⃣ การสร้างสินทรัพย์ – ลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ให้เราในอนาคต
7️⃣ การปรับปรุงแผนการเงิน – ตรวจสอบและปรับแผนการเงินให้เหมาะสมกับสถานการณ์
💡 ประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากหนังสือเล่มนี้
✅ เข้าใจหลักการเงินที่ใช้ได้จริง โดยไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ
✅ สามารถ วางแผนอนาคตได้อย่างเป็นระบบ และลดความเสี่ยงทางการเงิน
✅ เรียนรู้ เคล็ดลับการลงทุนและการสร้างสินทรัพย์ เพื่อความมั่งคั่งระยะยาว
✅ นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ทันที
1. ความรู้พื้นฐานทางการเงิน
📌 ความหมายและความสำคัญของความรู้ทางการเงิน
ความรู้พื้นฐานทางการเงิน (Financial Literacy) คือ ความสามารถในการเข้าใจแนวคิดและหลักการทางการเงิน เช่น การบริหารรายรับ-รายจ่าย การออม การลงทุน การวางแผนหนี้สิน และการบริหารความเสี่ยง ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจทางการเงินที่ดีขึ้น ช่วยให้บุคคลสามารถวางแผนอนาคต ลดปัญหาทางการเงิน และสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับตัวเองและครอบครัว
🔹 องค์ประกอบของความรู้พื้นฐานทางการเงิน
1.1 การทำงบการเงินส่วนบุคคล (Personal Financial Statement)
งบการเงินช่วยให้เราเห็นภาพรวมของสถานะทางการเงินของตนเอง โดยประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก
- 📊 งบแสดงฐานะการเงิน (Balance Sheet): แสดงสินทรัพย์ (เงินสด, บ้าน, รถ, การลงทุน) หักลบหนี้สิน (เงินกู้, บัตรเครดิต) เพื่อหาความมั่งคั่งสุทธิ
- 💰 งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement): บันทึกรายรับและรายจ่าย เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงิน
- 📉 งบกำไรขาดทุน (Income Statement): เปรียบเทียบรายได้และค่าใช้จ่าย เพื่อดูว่าเรามีกำไรหรือขาดทุน
✅ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
- บันทึกรายรับ-รายจ่ายทุกวันด้วยแอปพลิเคชัน เช่น Piggipo, Money Lover, หรือ Excel
- ตรวจสอบสินทรัพย์และหนี้สินทุก 6 เดือน เพื่อประเมินความมั่งคั่งของตนเอง
- ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และกันเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เดือน
🎯 ตัวอย่างการปรับใช้ได้จริง
- สมมติว่าเดือนนี้คุณใช้เงินมากกว่าที่ควร เมื่อตรวจสอบงบกระแสเงินสดพบว่าค่าใช้จ่ายอาหารนอกบ้านสูงเกินไป คุณสามารถปรับลดโดยทำอาหารทานเอง หรือใช้โปรโมชั่นส่วนลด
1.2 การวางแผนงบประมาณ (Budgeting)
งบประมาณช่วยให้เราจัดสรรเงินอย่างมีระบบ เช่น กำหนดเปอร์เซ็นต์รายได้ที่ควรใช้ในแต่ละด้าน
🔹 กฎ 50/30/20:
- 50% ค่าใช้จ่ายจำเป็น (ค่าบ้าน, ค่ารถ, ค่าน้ำ-ไฟ, อาหาร)
- 30% ค่าใช้จ่ายส่วนตัว (ความบันเทิง, ท่องเที่ยว, กินข้าวนอกบ้าน)
- 20% การออมและการลงทุน
✅ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
- กำหนดงบประมาณรายเดือน และใช้แอปติดตามค่าใช้จ่าย
- ตั้งเพดานการใช้จ่าย เช่น จำกัดงบช้อปปิ้งไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน
🎯 ตัวอย่างการปรับใช้ได้จริง
- หากคุณได้รับเงินเดือน 30,000 บาท คุณสามารถแบ่งเป็น
- 15,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น
- 9,000 บาท สำหรับความบันเทิง
- 6,000 บาท สำหรับการออมและลงทุน
1.3 ความเข้าใจเกี่ยวกับหนี้สินและเครดิต (Debt & Credit Management)
หนี้มีทั้ง “หนี้ดี” และ “หนี้เสีย” ที่ควรระวัง
- หนี้ดี (Good Debt): เช่น สินเชื่อบ้าน, กู้เพื่อการศึกษา ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินหรือรายได้ในอนาคต
- หนี้เสีย (Bad Debt): เช่น หนี้บัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยสูงจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
✅ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
- หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตเกินตัว และชำระเต็มจำนวนทุกเดือน
- หากมีหนี้สินให้จัดลำดับความสำคัญ โดยจ่ายหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงก่อน
🎯 ตัวอย่างการปรับใช้ได้จริง
- หากคุณมีหนี้บัตรเครดิต 50,000 บาท ดอกเบี้ย 18% ต่อปี ควรโฟกัสการจ่ายหนี้ให้หมดก่อนลงทุน
1.4 การออมเงินและวางแผนเงินฉุกเฉิน (Saving & Emergency Fund)
การออมเงินเป็นพื้นฐานของความมั่นคงทางการเงิน แบ่งเป็น
- เงินสำรองฉุกเฉิน: 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน
- เงินออมเพื่อเป้าหมาย: เช่น ซื้อบ้าน, ท่องเที่ยว
✅ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
- ตั้งบัญชีออมทรัพย์แยกเฉพาะเพื่อเงินฉุกเฉิน
- ใช้วิธี “ออมก่อนใช้” เช่น ตั้งหักเงินเดือนอัตโนมัติ 10-20%
🎯 ตัวอย่างการปรับใช้ได้จริง
- หากคุณมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท ควรมีเงินสำรอง 60,000-120,000 บาท เผื่อกรณีตกงานหรือเจ็บป่วย
1.5 การเริ่มต้นลงทุน (Basic Investing)
หลังจากมีเงินออมที่เพียงพอแล้ว ควรเริ่มลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย
- การลงทุนที่เหมาะสมกับมือใหม่
- กองทุนรวม: กระจายความเสี่ยง ไม่ต้องใช้เงินทุนสูง
- หุ้นพื้นฐานดี (DCA): ซื้อสะสมทุกเดือน
- ทองคำ/อสังหาริมทรัพย์: เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะยาว
✅ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
- ศึกษาการลงทุนก่อนลงเงิน เช่น อ่านหนังสือหรือเข้าคอร์สออนไลน์
- เริ่มจากเงินน้อยก่อน เช่น ลงทุนเดือนละ 1,000-5,000 บาท
🎯 ตัวอย่างการปรับใช้ได้จริง
- หากคุณต้องการเก็บเงิน 1 ล้านบาทใน 10 ปี สามารถลงทุนแบบ DCA ในกองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี โดยออมเดือนละ 5,000 บาท
🔹 สรุปแนวทางการปรับใช้
📌 ติดตามสถานะทางการเงิน → ใช้แอปหรือ Excel บันทึกรายรับ-รายจ่าย
📌 กำหนดงบประมาณรายเดือน → ใช้กฎ 50/30/20
📌 บริหารหนี้สิน → หลีกเลี่ยงหนี้เสีย และจ่ายหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงก่อน
📌 สร้างเงินสำรองฉุกเฉิน → ออมอย่างน้อย 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน
📌 เริ่มต้นลงทุน → ศึกษาและเลือกการลงทุนที่เหมาะสม
🎯 ตัวอย่างการวางแผนการเงินแบบครบวงจร
สมมติว่า “คุณเอก” อายุ 30 ปี มีเงินเดือน 35,000 บาท และต้องการวางแผนการเงิน
1️⃣ แบ่งเงินตามกฎ 50/30/20 → ออมเดือนละ 7,000 บาท
2️⃣ ตั้งกองทุนฉุกเฉิน → สะสมให้ถึง 120,000 บาท
3️⃣ ลงทุน DCA → ลงทุนในกองทุนหุ้นเดือนละ 5,000 บาท
4️⃣ ลดภาระหนี้สิน → ใช้หนี้บัตรเครดิตให้หมด
5️⃣ วางเป้าหมายเกษียณ → ต้องการเงิน 10 ล้านบาทเมื่ออายุ 60 ปี
ด้วยแผนการเงินที่ดี คุณเอกสามารถสร้างความมั่นคงและบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้สำเร็จ! 🎯✅
2. การวางเป้าหมายทางการเงิน
📌 ความสำคัญของการวางเป้าหมายทางการเงิน
การวางเป้าหมายทางการเงินเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เราจัดการเงินได้มีประสิทธิภาพ และสามารถบรรลุความมั่นคงทางการเงินได้ เปรียบเสมือนการวางแผนเดินทาง หากไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เราอาจใช้เงินโดยไม่มีทิศทางและไม่สามารถไปถึงจุดที่ต้องการได้
🔹 หลักการวางเป้าหมายทางการเงินที่ดี (SMART Goals)
การกำหนดเป้าหมายทางการเงินควรเป็นไปตามหลัก SMART
✅ Specific (เฉพาะเจาะจง): เป้าหมายต้องชัดเจน เช่น “เก็บเงินซื้อบ้าน 2 ล้านบาทใน 5 ปี”
✅ Measurable (วัดผลได้): ต้องสามารถคำนวณได้ เช่น ต้องเก็บเดือนละ 20,000 บาท
✅ Achievable (เป็นไปได้): ต้องเหมาะสมกับรายได้และค่าใช้จ่ายของตัวเอง
✅ Relevant (สอดคล้องกับชีวิต): ต้องตอบโจทย์ความต้องการ เช่น การเก็บเงินเพื่อเกษียณ
✅ Time-bound (มีกรอบเวลา): ต้องมีระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น “มีเงิน 1 ล้านบาทภายใน 3 ปี”
🔹 ประเภทของเป้าหมายทางการเงิน
2.1 เป้าหมายระยะสั้น (Short-Term Goals: 0-3 ปี)
เป็นเป้าหมายที่ต้องการบรรลุในช่วงเวลาอันใกล้ เช่น
- เก็บเงินสำรองฉุกเฉิน 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน
- ปิดหนี้บัตรเครดิตหรือหนี้สินระยะสั้น
- เก็บเงินสำหรับท่องเที่ยวหรือซื้อของที่ต้องการ
✅ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
- หักเงินออมก่อนใช้จ่าย โดยตั้งบัญชีเงินฝากแยกไว้เฉพาะ
- ใช้วิธี “งบซอง” แบ่งเงินเป็นหมวดหมู่ เช่น ซองค่าใช้จ่าย ซองออมเงิน
- ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น กินข้าวนอกบ้านน้อยลง
🎯 ตัวอย่างการปรับใช้ได้จริง
- หากคุณต้องการเงินสำรอง 60,000 บาทภายใน 6 เดือน คุณสามารถเก็บเดือนละ 10,000 บาทโดยลดค่าใช้จ่ายบางอย่าง เช่น ค่าเดินทางหรือของฟุ่มเฟือย
2.2 เป้าหมายระยะกลาง (Medium-Term Goals: 3-10 ปี)
เป็นเป้าหมายที่ต้องใช้เวลาสะสมเงินมากขึ้น เช่น
- ซื้อบ้าน/คอนโด หรือดาวน์รถ
- เก็บเงินแต่งงาน
- เรียนต่อหรือพัฒนาทักษะเพิ่มเติม
✅ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
- วางแผนการออมโดยใช้ บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูง หรือ กองทุนรวม
- หลีกเลี่ยงการเป็นหนี้เกินตัว เช่น ไม่กู้ซื้อของฟุ่มเฟือย
🎯 ตัวอย่างการปรับใช้ได้จริง
- หากต้องการเงินดาวน์บ้าน 500,000 บาทภายใน 5 ปี สามารถลงทุนเดือนละ 8,500 บาทในกองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8%
3.3 เป้าหมายระยะยาว (Long-Term Goals: 10 ปีขึ้นไป)
เป็นเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในอนาคต เช่น
- การเก็บเงินเกษียณ
- การส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัย
- การสร้างความมั่งคั่งและอิสรภาพทางการเงิน
✅ วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
- ลงทุนใน กองทุนหุ้น หรือ อสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เงินเติบโต
- ใช้หลัก DCA (Dollar Cost Averaging) โดยลงทุนทุกเดือนเพื่อกระจายความเสี่ยง
- วางแผนทำประกันชีวิตและสุขภาพเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายอนาคต
🎯 ตัวอย่างการปรับใช้ได้จริง
- หากต้องการมีเงินเกษียณ 5 ล้านบาทใน 30 ปี สามารถลงทุนเดือนละ 3,000 บาทในกองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8%
🔹 วิธีการกำหนดเป้าหมายทางการเงินแบบเป็นขั้นตอน
📝 ขั้นตอนที่ 1: กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
- ต้องการออมเงินเพื่ออะไร? (เช่น ซื้อบ้าน, เกษียณ, ท่องเที่ยว)
- ต้องใช้เงินเท่าไร?
📝 ขั้นตอนที่ 2: คำนวณจำนวนเงินที่ต้องออม
ใช้สูตรคำนวณเพื่อดูว่าแต่ละเดือนต้องเก็บเงินเท่าไร
📌 สูตรออมเงิน:
จำนวนเงินเป้าหมาย=จำนวนเงินที่ต้องออมต่อเดือน×ระยะเวลา\text{จำนวนเงินเป้าหมาย} = \text{จำนวนเงินที่ต้องออมต่อเดือน} \times \text{ระยะเวลา}
📝 ขั้นตอนที่ 3: เลือกวิธีการออมและลงทุน
- เงินระยะสั้น → เงินฝากออมทรัพย์/ฝากประจำ
- เงินระยะกลาง → กองทุนรวม/หุ้นปันผล
- เงินระยะยาว → หุ้น/อสังหาริมทรัพย์
📝 ขั้นตอนที่ 4: ลงมือทำและติดตามผล
- ตั้งระบบ Auto Transfer หักเงินออมอัตโนมัติ
- ทบทวนแผนการเงินทุก 6 เดือน
🎯 ตัวอย่างการวางแผนเป้าหมายทางการเงินแบบครบวงจร
📌 ตัวอย่าง 1: นายเอกต้องการมีเงิน 1 ล้านบาทใน 10 ปี
🔹 เป้าหมาย = 1,000,000 บาท
🔹 เวลาที่มี = 10 ปี (120 เดือน)
🔹 สมมติว่าได้ผลตอบแทน 8% ต่อปี
💡 นายเอกต้องออมเดือนละ 5,000 บาท และนำไปลงทุนในกองทุนหุ้น
📌 ตัวอย่าง 2: นางสาวบีต้องการซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาทใน 7 ปี
🔹 เงินดาวน์ 20% = 600,000 บาท
🔹 เวลาที่มี = 7 ปี (84 เดือน)
💡 นางสาวบีต้องเก็บเดือนละ 7,200 บาท และลงทุนในกองทุนหุ้นเพื่อให้เงินเติบโตเร็วขึ้น
✅ สรุปแนวทางการปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
✅ กำหนดเป้าหมายตามหลัก SMART → ระบุให้ชัดว่าเก็บเงินเพื่ออะไร
✅ ใช้กฎ 50/30/20 → จัดสรรเงินให้เป็นระบบ
✅ เลือกเครื่องมือออมและลงทุนให้เหมาะสม → เงินสั้นใช้ฝากออมทรัพย์ เงินยาวลงทุน
✅ ติดตามและปรับปรุงแผนการเงินสม่ำเสมอ → ตรวจสอบทุก 6 เดือน
🔹 ข้อคิดสำคัญเกี่ยวกับการวางเป้าหมายทางการเงิน
💡 “อย่าเพียงแค่ออมเงิน แต่ต้องลงทุนให้เงินทำงานแทนเรา”
💡 “เป้าหมายทางการเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากวางแผนดี ชีวิตจะมั่นคง”
🎯 หากคุณเริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่วันนี้ คุณจะมีอนาคตที่มั่นคงและบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น! 🚀
4. การวางแผนเกษียณ 🏡💰
📌 ความสำคัญของการวางแผนเกษียณ
การเกษียณคือช่วงชีวิตที่เราหยุดทำงานแต่ยังต้องมีเงินเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต หากไม่มีแผนการเงินที่ดี อาจเสี่ยงต่อการขาดแคลนเงินเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้น การวางแผนเกษียณตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณมี อิสรภาพทางการเงิน และใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างสบายใจ
4.1 วิธีคำนวณเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณ
สูตรคำนวณง่ายๆ:
เงินที่ต้องใช้=ค่าใช้จ่ายต่อเดือน×12×จำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตหลังเกษียณ\text{เงินที่ต้องใช้} = \text{ค่าใช้จ่ายต่อเดือน} \times 12 \times \text{จำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตหลังเกษียณ}
✅ ตัวอย่างการคำนวณ
- คุณต้องการใช้เงิน 30,000 บาท/เดือน
- คาดว่าจะมีชีวิตหลังเกษียณอีก 25 ปี
- เงินที่ต้องมี = 30,000 × 12 × 25 = 9,000,000 บาท
หากต้องการเงิน 9 ล้านบาทตอนเกษียณ ควรเริ่มออมและลงทุนตั้งแต่วันนี้!
4.2 แหล่งรายได้ในวัยเกษียณ
✅ เงินออมส่วนตัว → เงินสะสมจากการออมและลงทุน
✅ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) → นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันสะสม
✅ กองทุนประกันสังคม (SSO) → กรณีผู้ประกันตน มาตรา 33, 39
✅ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) → สำหรับข้าราชการ
✅ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) → ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีและเก็บเงินเกษียณ
✅ ประกันชีวิตแบบบำนาญ → รับเงินคืนเป็นรายปี
✅ สินทรัพย์ที่สร้างรายได้ → เช่น ค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์ หุ้นปันผล
4.3 วิธีวางแผนเกษียณให้สำเร็จ
✅ 1. กำหนดอายุเกษียณ
- ต้องการเกษียณที่อายุ 55, 60 หรือ 65 ปี
- คาดการณ์จำนวนปีที่ต้องใช้เงินหลังเกษียณ
✅ 2. คำนวณค่าใช้จ่ายต่อเดือนหลังเกษียณ
- ค่ากินอยู่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง
- ค่ารักษาพยาบาล
- ค่าใช้จ่ายไลฟ์สไตล์ (ท่องเที่ยว ฯลฯ)
✅ 3. เริ่มออมและลงทุนเพื่อเกษียณ
💡 แนะนำแนวทางออมและลงทุน:
- เริ่มลงทุนในกองทุน RMF หรือ PVD → หากมีนายจ้างช่วยสมทบ ให้เพิ่มการออมสูงสุด
- กระจายการลงทุน → ลงทุนในหุ้นปันผล กองทุนอสังหาริมทรัพย์
- ออมให้ได้ 15-20% ของรายได้ → หากเริ่มเร็ว อาจออมน้อยลง แต่หากเริ่มช้า อาจต้องออมมากขึ้น
✅ 4. ลดหนี้สินก่อนเกษียณ
- ปิดหนี้บัตรเครดิต
- ปิดหนี้บ้าน/รถ เพื่อไม่ให้เป็นภาระ
ตัวอย่างการปรับใช้ได้จริง
🎯 กรณีตัวอย่าง 1: คนอายุ 30 ปี ต้องการเกษียณตอน 60
- ต้องการเงิน 30,000 บาท/เดือน (9 ล้านบาท)
- เหลือเวลาเก็บเงิน 30 ปี
- หากต้องการผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี ควรลงทุนเดือนละ 5,500 บาท ในกองทุนรวม
🎯 กรณีตัวอย่าง 2: คนอายุ 45 ปี ต้องการเกษียณตอน 60
- ต้องการเงิน 30,000 บาท/เดือน (9 ล้านบาท)
- เหลือเวลาเก็บเงิน 15 ปี
- ต้องออมและลงทุนเดือนละ 20,000 บาท
💡 ยิ่งเริ่มต้นเร็ว ยิ่งสบาย!
✅ สรุปแนวทางการวางแผนเกษียณ
✅ เริ่มวางแผนตั้งแต่วันนี้ อย่ารอจนสาย
✅ คำนวณเงินที่ต้องใช้หลังเกษียณ
✅ ออมและลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสม
✅ กระจายความเสี่ยง และติดตามแผนทุกปี
✅ ลดหนี้สินก่อนเกษียณ
🎯 เริ่มออมเพื่ออนาคตตั้งแต่วันนี้ เพื่อวัยเกษียณที่มั่นคงและมีอิสรภาพทางการเงิน! 🚀
5. การบริหารความเสี่ยง ⚖️🔍
📌 ความหมายของการบริหารความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) คือ การวางแผนเพื่อป้องกันหรือลดผลกระทบของเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลเสียต่อชีวิต การเงิน และอนาคตของเรา ความเสี่ยงอาจมาจากหลายปัจจัย เช่น
✅ ความเสี่ยงด้านสุขภาพ → เจ็บป่วย อุบัติเหตุ
✅ ความเสี่ยงด้านการเงิน → รายได้ลดลง หนี้สิน การลงทุนขาดทุน
✅ ความเสี่ยงด้านอาชีพ → ตกงาน รายได้ไม่แน่นอน
✅ ความเสี่ยงด้านทรัพย์สิน → รถเสีย บ้านไฟไหม้
การบริหารความเสี่ยงที่ดีช่วยให้เราสามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้ และยังช่วยให้การวางแผนการเงินมั่นคงขึ้น
5.1 หลักการบริหารความเสี่ยง
✅ 1. ระบุความเสี่ยง
- วิเคราะห์ว่ามีความเสี่ยงอะไรบ้างในชีวิต เช่น สุขภาพ การงาน การเงิน ทรัพย์สิน
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณไม่มีเงินสำรองและเกิดตกงาน คุณจะรับมือได้หรือไม่?
✅ 2. ประเมินระดับความเสี่ยง
- ความเสี่ยงไหน กระทบมากที่สุด
- ความเสี่ยงไหน มีโอกาสเกิดขึ้นสูง
✅ 3. วางแผนลดความเสี่ยง
- หาทางป้องกัน เช่น ทำประกันสุขภาพ สร้างรายได้หลายทาง
- กระจายความเสี่ยง เช่น ลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
✅ 4. ติดตามและปรับแผนเป็นระยะ
- ตรวจสอบแผนความเสี่ยงทุกปี
- หากสถานการณ์เปลี่ยนไป เช่น รายได้เพิ่ม ควรปรับแผน
5.2 วิธีบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ
✅ 1. สร้างกองทุนฉุกเฉิน 🚨
- ควรมี เงินสำรอง 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
- เช่น หากค่าใช้จ่ายเดือนละ 20,000 บาท ควรมีเงินสำรอง 60,000 – 120,000 บาท
- เก็บไว้ในบัญชีที่ เข้าถึงง่าย ดอกเบี้ยสูง เช่น กองทุนตลาดเงิน
✅ 2. ทำประกันที่เหมาะสม 🏥
- ประกันสุขภาพ → คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
- ประกันชีวิต → ลดความเสี่ยงด้านรายได้ของครอบครัว
- ประกันอุบัติเหตุ → คุ้มครองหากเกิดอุบัติเหตุ
- ประกันทรัพย์สิน → คุ้มครองบ้าน รถ จากความเสียหาย
✅ 3. กระจายการลงทุน 📈
- อย่าลงทุนทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว
- ลงทุนในหุ้น กองทุน อสังหาริมทรัพย์ ตราสารหนี้ เพื่อกระจายความเสี่ยง
- ใช้หลัก Asset Allocation → จัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะกับความเสี่ยงที่รับได้
✅ 4. ลดและควบคุมหนี้สิน 💳
- หลีกเลี่ยงหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิต
- จัดการหนี้โดยใช้วิธี Snowball Method (ปิดหนี้จากก้อนเล็กไปใหญ่)
- ใช้หนี้สินให้เป็นประโยชน์ เช่น กู้ซื้อบ้านเพื่อเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน
ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
🎯 กรณีตัวอย่าง 1: พนักงานออฟฟิศ
สถานการณ์: นาย A มีรายได้ 40,000 บาท/เดือน และมีภาระค่าใช้จ่าย 25,000 บาท/เดือน
การบริหารความเสี่ยง:
✅ เก็บเงินสำรอง 6 เดือน → ควรมี 150,000 บาท
✅ ทำ ประกันสุขภาพ → คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล
✅ ลงทุน DCA ในกองทุนรวม → กระจายความเสี่ยง
✅ ไม่มีหนี้สินสูง → ลดภาระหนี้
🎯 กรณีตัวอย่าง 2: เจ้าของธุรกิจส่วนตัว
สถานการณ์: นาง B มีธุรกิจของตัวเอง รายได้ไม่แน่นอน
การบริหารความเสี่ยง:
✅ มี เงินสำรอง 12 เดือน → เพราะรายได้ผันผวน
✅ ทำ ประกันธุรกิจและประกันรายได้ → ป้องกันกรณีธุรกิจสะดุด
✅ ลงทุน อสังหาริมทรัพย์ → สร้างกระแสเงินสดเพิ่ม
✅ สรุปแนวทางการบริหารความเสี่ยง
✅ มีเงินสำรองฉุกเฉิน อย่างน้อย 3-6 เดือน
✅ ทำประกันที่จำเป็น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด
✅ กระจายการลงทุน ไม่ลงทุนในสินทรัพย์เดียว
✅ ลดหนี้สิน โดยเฉพาะหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง
✅ ติดตามและปรับแผน ตามสถานการณ์
🎯 บริหารความเสี่ยงให้ดี ชีวิตมั่นคงขึ้น! 🚀
6. การสร้างสินทรัพย์ 🏦💰
📌 ความหมายของการสร้างสินทรัพย์
การสร้างสินทรัพย์ (Asset Building) หมายถึง การสะสมทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและสามารถสร้างรายได้ให้เราในอนาคต ซึ่งแตกต่างจาก หนี้สิน ที่ทำให้เงินไหลออก
✅ สินทรัพย์ที่ดี → ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์
❌ หนี้สินหรือภาระ → ทำให้เงินไหลออก เช่น รถยนต์ที่มูลค่าลดลง
เป้าหมายของการสร้างสินทรัพย์ คือ ทำให้สินทรัพย์สร้างกระแสเงินสด (Cash Flow) ได้ เพื่อให้สามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้ในระยะยาว
6.1 ประเภทของสินทรัพย์ที่ควรสร้าง
✅ 1. สินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Assets)
📌 กองทุนรวม → ลงทุนในกองทุนที่สร้างผลตอบแทน เช่น หุ้น ตราสารหนี้
📌 หุ้นปันผล → ซื้อหุ้นที่ให้เงินปันผลสม่ำเสมอ
📌 พันธบัตรรัฐบาล/หุ้นกู้ → สร้างรายได้ประจำจากดอกเบี้ย
✅ 2. สินทรัพย์ที่สร้างรายได้ (Income-Generating Assets)
📌 อสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่า → ซื้อบ้าน/คอนโดให้เช่าเพื่อรับค่าเช่า
📌 ธุรกิจส่วนตัว → สร้างธุรกิจที่สามารถดำเนินต่อได้แม้ไม่ได้ทำเอง
📌 แฟรนไชส์ → ลงทุนในธุรกิจที่มีระบบสำเร็จรูป
✅ 3. สินทรัพย์ทางปัญญา (Intellectual Assets)
📌 หนังสือ/คอร์สออนไลน์ → สร้างรายได้จากองค์ความรู้
📌 ลิขสิทธิ์/สิทธิบัตร → เช่น เพลง แอปพลิเคชัน นวัตกรรมใหม่ๆ
6.2 วิธีสร้างสินทรัพย์ให้มั่งคั่ง
✅ 1. เริ่มต้นออมและลงทุน
💡 วิธีเริ่มต้น:
- แบ่งรายได้ 10-20% มาลงทุนสร้างสินทรัพย์
- ใช้เทคนิค DCA (Dollar Cost Averaging) ซื้อสินทรัพย์อย่างสม่ำเสมอ
🔹 ตัวอย่างการลงทุนเริ่มต้น
💰 ลงทุน กองทุนหุ้น/กองทุนปันผล → เดือนละ 5,000 บาท
💰 ซื้อ อสังหาริมทรัพย์ให้เช่า → เก็บเงินดาวน์และปล่อยเช่าให้มีกระแสเงินสด
✅ 2. ใช้เงินทำงานแทนการทำงานตลอดชีวิต
💡 แนวคิด: “ถ้าเราต้องทำงานตลอดชีวิตเพื่อให้มีรายได้ นั่นแปลว่าเรายังไม่มีสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ให้เรา”
📌 ลงทุนใน หุ้นปันผล ให้มีเงินใช้โดยไม่ต้องขายหุ้น
📌 ซื้อ อสังหาริมทรัพย์ปล่อยเช่า เพื่อให้มีค่าเช่าเป็นรายได้ประจำ
📌 ขาย คอร์สออนไลน์ หรือทำธุรกิจที่ไม่ต้องทำเองตลอด
✅ 3. เปลี่ยนรายได้จากงานประจำเป็นสินทรัพย์
💡 หากมีเงินเดือน 50,000 บาท ควรแบ่งเงินไปสร้างสินทรัพย์
📌 กัน 10,000 บาท ลงทุนในกองทุนหุ้น
📌 กัน 5,000 บาท สร้างธุรกิจเสริมออนไลน์
📌 กัน 5,000 บาท ลงทุนอสังหาฯ
ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตจริง
🎯 กรณีตัวอย่าง 1: พนักงานเงินเดือน
สถานการณ์: นาย A อายุ 30 ปี รายได้ 40,000 บาท/เดือน
การสร้างสินทรัพย์:
✅ ออมหุ้นเดือนละ 5,000 บาท
✅ ซื้อกองทุนรวมปันผล สร้างกระแสเงินสด
✅ ลงทุนในอสังหาฯ ปล่อยเช่า
🎯 กรณีตัวอย่าง 2: เจ้าของธุรกิจ
สถานการณ์: นาง B มีรายได้เดือนละ 100,000 บาท
การสร้างสินทรัพย์:
✅ ลงทุนในหุ้นปันผล สร้าง Passive Income
✅ ซื้อที่ดินเก็บไว้ให้มูลค่าเพิ่มขึ้น
✅ ทำคอร์สออนไลน์ ขายความรู้เป็นรายได้ระยะยาว
✅ สรุปแนวทางการสร้างสินทรัพย์
✅ ออมและลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน
✅ เปลี่ยนรายได้จากงานเป็นสินทรัพย์
✅ ใช้เงินทำงานแทนการทำงานตลอดชีวิต
✅ ติดตามแผนการเงิน ปรับปรุงสินทรัพย์ทุกปี
🎯 ยิ่งสร้างสินทรัพย์เร็ว อิสรภาพทางการเงินยิ่งมาเร็ว! 🚀
7. การปรับปรุงแผนการเงิน 📝💡
📌 ความหมายของการปรับปรุงแผนการเงิน
การวางแผนการเงินไม่ใช่สิ่งที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องมีการ ติดตาม ตรวจสอบ และปรับปรุง ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและสถานการณ์ของเรา เช่น
✅ รายได้เปลี่ยนแปลง → ต้องอัปเดตการออมและการลงทุน
✅ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น → ต้องปรับงบประมาณ
✅ เป้าหมายชีวิตเปลี่ยนไป → ต้องปรับแผนการลงทุน
🎯 การปรับปรุงแผนการเงินช่วยให้เราควบคุมอนาคตทางการเงินได้ดีขึ้น และไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
7.1 หลักการปรับปรุงแผนการเงิน
✅ 1. ทบทวนเป้าหมายทางการเงินทุกปี
- เป้าหมายที่เคยตั้งไว้ยังคงเหมาะสมอยู่หรือไม่?
- ต้องปรับเป้าหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่?
ตัวอย่าง:
📌 เดิมตั้งเป้าเก็บเงิน 1 ล้านบาทใน 5 ปี แต่ปีที่แล้วมีโบนัสเพิ่ม → อาจปรับเป้าให้เร็วขึ้น
✅ 2. ตรวจสอบงบประมาณและกระแสเงินสด
- รายรับเพิ่มขึ้นหรือลดลง? → ควรออมและลงทุนเพิ่มขึ้นหรือลดลง
- ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหรือไม่? → มีรายจ่ายไม่จำเป็นที่ต้องตัดออกหรือไม่?
- สัดส่วนการออมและลงทุนยังเหมาะสมหรือไม่?
ตัวอย่าง:
📌 รายได้เพิ่มขึ้น 20% → ควรเพิ่มเงินลงทุน ไม่ใช่เพิ่มการใช้จ่าย
✅ 3. วิเคราะห์สินทรัพย์และหนี้สิน
- สินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ยังให้ผลตอบแทนดีหรือไม่?
- มีหนี้สินที่ต้องรีไฟแนนซ์หรือปรับโครงสร้างหรือไม่?
ตัวอย่าง:
📌 ซื้อหุ้นบางตัวที่ผลตอบแทนลดลง → ควรขายและเปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ดีกว่า
📌 ผ่อนบ้านอยู่ 3 ปี ดอกเบี้ยเริ่มสูง → ควรรีไฟแนนซ์เพื่อลดภาระดอกเบี้ย
✅ 4. ปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยง
- ความเสี่ยงของการลงทุนยังเหมาะกับเราอยู่ไหม?
- อายุเพิ่มขึ้น ควรลดสัดส่วนหุ้น และเพิ่มสินทรัพย์ปลอดภัยหรือไม่?
ตัวอย่าง:
📌 อายุ 30 ปี → ลงทุนในหุ้น 80% ตราสารหนี้ 20%
📌 อายุ 50 ปี → ปรับเป็นหุ้น 50% ตราสารหนี้ 50% เพื่อลดความเสี่ยง
✅ 5. อัปเดตแผนประกันและภาษี
- ประกันสุขภาพ/ชีวิตยังครอบคลุมเพียงพอหรือไม่?
- สามารถวางแผนภาษีให้ประหยัดขึ้นได้หรือไม่?
ตัวอย่าง:
📌 รายได้เพิ่มขึ้น → ควรซื้อกองทุนลดหย่อนภาษีเพิ่มขึ้น
📌 แต่งงาน มีลูก → ต้องเพิ่มวงเงินประกันชีวิต
7.2 วิธีนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
✅ จัดเวลาทบทวนการเงินทุก 6 เดือน – 1 ปี → ตรวจสอบเป้าหมายและการใช้เงิน
✅ ตั้งงบประมาณรายเดือน → ควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผน
✅ ใช้แอปพลิเคชันบริหารการเงิน → ติดตามรายรับ รายจ่าย และการลงทุน
✅ อ่านข่าวการเงิน → อัปเดตแนวโน้มเศรษฐกิจเพื่อปรับแผนการลงทุน
ตัวอย่างการนำไปใช้ในชีวิตจริง
🎯 กรณีตัวอย่าง 1: พนักงานเงินเดือน
สถานการณ์: นาย A ทำงานออฟฟิศ มีรายได้ 50,000 บาท/เดือน
การปรับแผนการเงิน:
✅ ตรวจสอบแผนการออม → ออมเพิ่ม 15% จากโบนัส
✅ ปรับพอร์ตการลงทุน → ลดหุ้นเสี่ยงสูง เพิ่มกองทุนตราสารหนี้
✅ อัปเดตประกันสุขภาพ → เพิ่มวงเงินคุ้มครองให้เหมาะกับค่ารักษาในปัจจุบัน
🎯 กรณีตัวอย่าง 2: เจ้าของธุรกิจ
สถานการณ์: นาง B เป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ รายได้ไม่แน่นอน
การปรับแผนการเงิน:
✅ สร้างเงินสำรองเพิ่ม → เก็บเงินฉุกเฉินให้เพียงพอสำหรับ 1 ปี
✅ กระจายความเสี่ยง → ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้มีรายได้จากค่าเช่า
✅ จัดการภาษี → วางแผนภาษีเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย
✅ สรุปแนวทางการปรับปรุงแผนการเงิน
✅ ทบทวนเป้าหมายการเงินทุกปี
✅ ปรับงบประมาณให้เหมาะกับรายรับ-รายจ่าย
✅ ตรวจสอบและปรับสินทรัพย์-หนี้สิน
✅ จัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยง
✅ อัปเดตแผนประกันและภาษี
🎯 การปรับแผนการเงินช่วยให้ชีวิตมั่นคงขึ้นและไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น! 🚀
📌 สรุป
“Money Lecture เรียนหนึ่งครั้ง ใช้ได้ทั้งชีวิต” เป็นหนังสือที่ช่วยให้ผู้อ่าน เข้าใจเรื่องการเงินอย่างง่าย พร้อมเครื่องมือและแนวคิดที่สามารถนำไป ปรับใช้เพื่อสร้างชีวิตที่มั่นคงและมั่งคั่งในอนาคต เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการวางแผนการเงินให้ดีขึ้นตั้งแต่วันนี้! 🚀💰