คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมสินค้าหรือบริการเดียวกัน บางคนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่บางคนกลับพยายามเท่าไหร่ก็ไม่มีลูกค้าสนใจ? ความแตกต่างไม่ได้อยู่ที่ตัวสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “วิธีการขาย” และ “จิตวิทยาในการโน้มน้าวลูกค้า”
5 เทคนิคหลักของหนังสือ “ขาย 100 คน ซื้อ 99 คน” จะพาคุณไปรู้จักกับเทคนิคที่ เปลี่ยนลูกค้าธรรมดาให้กลายเป็นลูกค้าขาประจำ และ เปลี่ยนการปฏิเสธเป็นการตอบรับ โดยที่คุณไม่ต้องเป็นนักขายมืออาชีพก็สามารถทำได้
1. ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “นี่คือโอกาสพิเศษ” ที่ต้องรีบคว้า
📌 แนวคิด: ถ้าลูกค้ารู้สึกว่า “โอกาสนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ” พวกเขาจะอยากซื้อทันที
🎯 วิธีใช้:
✅ ใช้ข้อเสนอพิเศษที่มีข้อจำกัด เช่น
- “สินค้าล็อตนี้ผลิตจำนวนจำกัด แค่ 100 ชิ้น!”
- “โปรโมชั่นเฉพาะลูกค้า VIP เท่านั้น!”
- “ลด 50% เฉพาะลูกค้าที่ซื้อภายใน 24 ชั่วโมงนี้!”
✨ ตัวอย่าง:
👜 ร้านกระเป๋าแบรนด์เนมออนไลน์
🔹 “คอลเลกชันนี้เป็นลิมิเต็ด หยุดผลิตแล้ว เหลือแค่ 5 ใบ!”
🔹 ลูกค้าจะรู้สึกว่าต้องรีบซื้อ เพราะของหมดแล้วหมดเลย
2. ใช้ “หลักการโน้มน้าวใจ 6 ข้อ” ของโรเบิร์ต ชัลดินี
📌 แนวคิด: ศาสตราจารย์ Robert Cialdini ได้คิดค้น 6 หลักจิตวิทยาที่ช่วยให้การขายทรงพลังขึ้น
🎯 วิธีใช้ในงานขาย:
1️⃣ ความชอบ (Liking) → คนชอบซื้อของจากคนที่พวกเขาชอบ
✅ วิธีใช้: สร้างความเป็นกันเอง เช่น จำชื่อลูกค้า หรือพูดจาเป็นมิตร
2️⃣ หลักฐานทางสังคม (Social Proof) → คนจะเชื่อเมื่อเห็นว่าคนอื่นซื้อเยอะ
✅ วิธีใช้: แสดงรีวิวลูกค้าจริง, ยอดขายอันดับ 1, มีอินฟลูเอนเซอร์ใช้
3️⃣ ความขาดแคลน (Scarcity) → คนจะอยากซื้อถ้าของมีจำกัด
✅ วิธีใช้: “เหลือเพียง 2 ชิ้นสุดท้าย!”
4️⃣ ความเชี่ยวชาญ (Authority) → คนจะเชื่อถ้าผู้ขายมีความน่าเชื่อถือ
✅ วิธีใช้: บอกว่า “สินค้านี้ได้รับรางวัลระดับโลก” หรือ “แนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ”
5️⃣ การแลกเปลี่ยน (Reciprocity) → คนมักรู้สึกอยากตอบแทนเมื่อได้รับบางอย่าง
✅ วิธีใช้: ให้ตัวอย่างทดลองใช้ฟรี หรือของแถม
6️⃣ ความสม่ำเสมอ (Commitment & Consistency) → คนมักทำตามสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจไปแล้ว
✅ วิธีใช้: ให้ลูกค้าลองใช้สินค้าก่อน → โอกาสปิดการขายสูงขึ้น
✨ ตัวอย่าง:
📱 ร้านขายมือถือ
🔹 ใช้ Social Proof → “รุ่นนี้มียอดขายอันดับ 1 ในไทย!”
🔹 ใช้ Scarcity → “สีนี้เป็นสีขายดี ใกล้หมดแล้ว!”
3. เปลี่ยน “ข้อโต้แย้งของลูกค้า” เป็น “โอกาสในการปิดการขาย”
📌 แนวคิด: เมื่อลูกค้าปฏิเสธ ไม่ได้แปลว่าไม่สนใจ แค่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
🎯 วิธีตอบข้อโต้แย้งของลูกค้าให้เกิดยอดขาย
✅ ลูกค้า: “แพงไปครับ”
❌ ผิด: “ราคานี้ปกติครับ” (ลูกค้าจะไม่รู้สึกถึงคุณค่า)
✅ ถูก: “ราคานี้เพราะใช้วัสดุเกรดพรีเมียมที่ทนทานกว่ายี่ห้ออื่น 3 เท่า!”
✅ ลูกค้า: “ขอคิดดูก่อน”
❌ ผิด: “งั้นไว้ค่อยตัดสินใจนะครับ” (ลูกค้าอาจลืม)
✅ ถูก: “ผมขอเสนอโปรโมชั่นพิเศษวันนี้เท่านั้น!”
✅ ลูกค้า: “มีรุ่นอื่นที่ถูกกว่านี้ไหม?”
❌ ผิด: “ไม่มีครับ” (ลูกค้าจะเลิกสนใจ)
✅ ถูก: “มีครับ แต่ฟังก์ชันอาจไม่ครบแบบรุ่นนี้ ลองดูไหมครับ?”
✨ ตัวอย่าง:
🏋️♂️ ขายคอร์สฟิตเนส
🔹 ลูกค้า: “แพงจังเลย”
🔹 คุณ: “จริง ๆ แล้ว ถ้าคิดเป็นรายวัน คุณจ่ายแค่วันละ 50 บาทเองครับ เพื่อสุขภาพที่ดี!”
4. ใช้ “อารมณ์” ดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น
📌 แนวคิด: คนมักซื้อของเพราะ “อารมณ์” แล้วค่อยใช้ “เหตุผล” มาสนับสนุน
🎯 วิธีสร้างอารมณ์ให้ลูกค้าอยากซื้อ
✅ เล่าเรื่อง (Storytelling) → ทำให้ลูกค้ารู้สึกอินกับสินค้า
✅ ใช้ภาพ + คำพูดกระตุ้นความรู้สึก เช่น
- “ลองจินตนาการถึงวันที่คุณตื่นมาบนที่นอนที่นุ่มสบายที่สุด…”
- “ลองคิดดูว่าถ้าคุณสามารถลดน้ำหนักได้ 10 กิโล จะรู้สึกดีแค่ไหน?”
✨ ตัวอย่าง:
📸 ขายกล้องถ่ายรูป
🔹 “กล้องนี้จะช่วยให้คุณเก็บทุกความทรงจำของครอบครัวไว้อย่างคมชัด”
🔹 ลูกค้าจะรู้สึกว่า ถ้าไม่ซื้อ อาจพลาดช่วงเวลาดี ๆ ไป
5. ใช้ “เทคนิคทดลองใช้” ให้ลูกค้ารู้สึกเป็นเจ้าของก่อนซื้อ
📌 แนวคิด: คนเรามีแนวโน้มซื้อสินค้าที่เคยใช้หรือสัมผัสมาแล้ว
🎯 วิธีใช้:
✅ ให้ทดลองใช้ก่อน เช่น
- “ลองถือกระเป๋าดูก่อนได้เลยค่ะ”
- “ทดลองขับรถฟรี 7 วัน!”
✅ ให้ลูกค้าจินตนาการถึงการใช้สินค้า เช่น
- “ลองนึกภาพตัวเองใส่รองเท้าคู่นี้เดินเล่นริมทะเลสิคะ”
✨ ตัวอย่าง:
🏡 ขายบ้าน
🔹 ให้ลูกค้าเดินชมบ้าน และจินตนาการว่า “นี่คือบ้านของเขาแล้ว”
————————-
11 หลักจิตวิทยาการขายที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
การขายไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่คุณสมบัติของสินค้า แต่ยังขึ้นอยู่กับ “จิตวิทยาของลูกค้า” ด้วย
นี่คือ 11 หลักจิตวิทยาที่ช่วยให้คุณขายอะไรก็ได้ พร้อมตัวอย่างการนำไปใช้จริง
1. หลักความขาดแคลน (Scarcity) – “มีน้อย ยิ่งอยากได้”
📌 แนวคิด: คนเรามักให้คุณค่ากับสิ่งที่มีจำนวนจำกัด และกลัวพลาดโอกาส
🎯 การนำไปใช้:
- ร้านค้าออนไลน์ขึ้นข้อความ “สินค้าล็อตสุดท้าย! หมดแล้วหมดเลย”
- ร้านเสื้อผ้าแจ้งว่า “มีเพียง 50 ตัวเท่านั้น!”
- เว็บไซต์จองโรงแรมโชว์ว่า “เหลือเพียง 2 ห้องสุดท้าย”
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกต้องรีบตัดสินใจซื้อมากขึ้น
2. หลักอำนาจทางสังคม (Social Proof) – “คนอื่นใช้ เราก็ต้องใช้”
📌 แนวคิด: คนเชื่อถือสิ่งที่คนอื่นเลือกใช้
🎯 การนำไปใช้:
- รีวิวจากลูกค้าจริง เช่น “สินค้านี้มียอดขายกว่า 10,000 ชิ้น”
- Testimonial จากผู้มีชื่อเสียง “ดาราคนนี้ก็ใช้!”
- ใช้ตัวเลขช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ เช่น “ลูกค้ากว่า 95% บอกว่าพอใจ”
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการซื้อ เพราะเห็นว่ามีคนอื่นใช้แล้วดี
3. หลักความชอบพอ (Liking) – “ชอบก่อน แล้วค่อยซื้อ”
📌 แนวคิด: คนมักจะซื้อจากคนที่พวกเขาชอบ
🎯 การนำไปใช้:
- ใช้ Personal Branding เช่น เจ้าของแบรนด์ออกมาเล่าเรื่องราวการสร้างสินค้า
- Storytelling เช่น เล่าเรื่องว่าแบรนด์ช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าได้อย่างไร
- สร้างคอนเทนต์ที่มีอารมณ์ร่วม เช่น โพสต์เกี่ยวกับแรงบันดาลใจ หรือความสำเร็จของลูกค้า
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์และอยากสนับสนุน
4. หลักความคุ้นเคย (Familiarity) – “ยิ่งเห็นบ่อย ยิ่งอยากซื้อ”
📌 แนวคิด: คนจะรู้สึกมั่นใจในสินค้าที่พวกเขาคุ้นเคย
🎯 การนำไปใช้:
- ทำ โฆษณาแบบ Remarketing (ให้ลูกค้าเห็นซ้ำ)
- ใช้ อินฟลูเอนเซอร์ช่วยโปรโมทบ่อย ๆ
- สร้าง คอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า ให้ลูกค้าเจอในหลายแพลตฟอร์ม
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกคุ้นเคยกับแบรนด์และพร้อมซื้อมากขึ้น
5. หลักความภักดี (Commitment & Consistency) – “เริ่มแล้วต้องทำต่อ”
📌 แนวคิด: เมื่อคนเริ่มทำอะไรบางอย่าง พวกเขามักทำต่อเนื่อง
🎯 การนำไปใช้:
- ให้ทดลองฟรี เช่น “ลองใช้ฟรี 7 วัน!”
- ใช้ระบบสะสมแต้ม เช่น “ซื้อต่ออีกแค่ 1 ครั้ง จะได้ของแถมฟรี!”
- ให้ลูกค้าเลือกก่อน แล้วค่อยเสนอขาย เช่น “เลือกสีที่ชอบก่อน แล้วเราจะให้ดีลพิเศษ”
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกว่าเริ่มต้นแล้ว เลยตัดสินใจซื้อต่อ
6. หลักการให้ก่อน (Reciprocity) – “ให้ก่อน ลูกค้าจะอยากตอบแทน”
📌 แนวคิด: เมื่อคนได้รับอะไรบางอย่าง พวกเขาจะรู้สึกอยากตอบแทน
🎯 การนำไปใช้:
- แจก สินค้าทดลองฟรี หรือ คูปองส่วนลด
- ให้ ความรู้ฟรี ผ่านบทความหรือวิดีโอ
- จัด กิจกรรมแจกของรางวัล ให้ลูกค้าร่วมสนุก
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกอยากซื้อเพื่อตอบแทนสิ่งที่ได้รับ
7. หลักอำนาจของคนมีอิทธิพล (Authority) – “ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าดี”
📌 แนวคิด: คนมักเชื่อถือผู้เชี่ยวชาญหรือแบรนด์ที่มีชื่อเสียง
🎯 การนำไปใช้:
- ใช้คำรับรองจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น “แพทย์แนะนำให้ใช้”
- โชว์รางวัลที่ได้รับ เช่น “Best Seller Award 2024”
- มีแบรนด์พาร์ทเนอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น “ใช้โดยบริษัทชั้นนำ”
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในสินค้ามากขึ้น
8. หลักความเร่งด่วน (Urgency) – “ต้องรีบซื้อ ก่อนหมดเวลา”
📌 แนวคิด: ถ้าลูกค้ารู้สึกว่าต้องตัดสินใจทันที พวกเขาจะซื้อง่ายขึ้น
🎯 การนำไปใช้:
- Flash Sale “ลดราคาภายใน 24 ชั่วโมงนี้เท่านั้น!”
- Countdown Timer ในหน้าเว็บไซต์
- โปรวันเกิด ที่ใช้งานได้แค่วันเดียว
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้ากลัวพลาดและรีบซื้อ
9. หลักความกลัวที่จะพลาด (FOMO – Fear of Missing Out)
📌 แนวคิด: คนไม่อยากตกเทรนด์ หรือพลาดสิ่งที่คนอื่นมี
🎯 การนำไปใช้:
- โชว์ว่า “สินค้านี้ขายหมดในเวลาแค่ 1 ชั่วโมง”
- สร้าง คอลเลกชันพิเศษ ที่มีแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ
- ใช้ #Trending หรือ Viral Content ในการขาย
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกว่าถ้าไม่ซื้อจะเสียโอกาส
10. หลักการใช้ตัวเลขจิตวิทยา
📌 แนวคิด: ตัวเลขมีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า
🎯 การนำไปใช้:
- ใช้ราคา 199 บาท แทน 200 บาท (ทำให้รู้สึกว่าถูกลง)
- โปรโมชัน “ซื้อ 1 แถม 1” (ลูกค้ารู้สึกได้ของมากขึ้น)
- ส่วนลด “ลด 30% ดีกว่าลด 100 บาท” (ดูคุ้มกว่าถึงแม้ว่าจะลดเท่ากัน)
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกว่ากำลังได้ดีลที่คุ้มค่า
11. หลักความง่าย (Simplicity) – “ง่ายไว้ก่อน ลูกค้าซื้อเร็วขึ้น”
📌 แนวคิด: ถ้าทำให้กระบวนการซื้อง่ายขึ้น ลูกค้าจะซื้อง่ายขึ้น
🎯 การนำไปใช้:
- ปุ่มซื้อที่ชัดเจน “กดสั่งซื้อเลย”
- Checkout ง่าย ไม่ต้องสมัครสมาชิก
- ใช้คำโฆษณาสั้น ๆ และตรงจุด เช่น “สมัครง่ายใน 1 นาที!”
✅ ผลลัพธ์: ลูกค้าไม่ลังเลและตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
✨ สรุป 5 เทคนิคขายแบบ “ขาย 100 คน ซื้อ 99 คน”
1️⃣ อย่าขายแบบ Hard Sell → ให้คำแนะนำแทน
2️⃣ ใช้เหตุผล + อารมณ์ร่วมกัน → กระตุ้นความต้องการของลูกค้า
3️⃣ ถามคำถามที่ทำให้ลูกค้าต้องตอบว่า “ใช่” → ทำให้ลูกค้ารู้สึกสอดคล้องกับข้อเสนอ
4️⃣ สร้างความเร่งด่วน → กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็ว
5️⃣ ใช้หลัก “ถ้า – แล้ว” → ทำให้ลูกค้าเห็นภาพว่าชีวิตจะดีขึ้นยังไง